-
สถาบันยุคหลังคาร์บอน เสนอ
-
สุดยอดแห่งการเดินทางที่ตื่นเต้นดุจขึ้นรถไฟเหาะ
-
ประวัติศาสตร์โดยย่อของเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์
-
สรรพสิ่งเริ่มมาจากบิ๊กแบง
-
เดี๋ยว เราไม่ต้องย้อนไปไกลขนาดนั้น
-
โลกก่อตัวเมื่อราว 4.5 พันล้านปีที่แล้ว
-
ยังไกลไปอยู่ดี งั้นลองนี่
-
มันอยู่ในช่วงยุคกลาง
คนในอังกฤษ
-
เริ่มขาดแคลนไม้ฟืน
และได้เริ่มเผาถ่านหินกัน
-
แต่แล้วพวกเขาก็ใช้ถ่านหิน
บนผิวดินจนหมด
-
ชาวเหมืองขุดลึกลงไป
เหมืองถ่านหินก็มีน้ำลงไปท่วม
-
แซมมวล นิวคมเมนประดิษฐ์เครื่องจักร
เดินด้วยพลังไอน้ำจากการเผาถ่านหิน
-
เพื่อสูบเอาน้ำออก
ให้ชาวเหมืองขุดต่อไปได้
-
เจมส์ วัตต์นำมาต่อยอด
ให้เครื่องจักรนี้ใช้งานได้จริง
-
คราวนี้เราก็มีส่วนผสมครบ
ที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมกันล่ะ
-
เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์
และวิธีที่จะนำมันมาใช้
-
จากนั้นทุกอย่างก็ประทุขึ้นราวนรกแตก
-
ชาวเหมืองลำเลียงถ่านหิน
ได้ไม่คล่องตัวนัก
-
รางรถทำให้มันง่ายขึ้น
-
รางรถและเครื่องจักรไอน้ำ
รวมกันเป็นรถไฟ
-
ไมเคิล ฟาราเดย์สร้าง
มอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรก
-
นิโคลัส เทสลาประดิษฐ์
ไฟฟ้ากระแสสลับ
-
ไม่นานนักบริษัทสาธารณูปโภคก็เริ่ม
เผาถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้า
-
ช่วงนั้นเองเอดวิน เดรคเริ่มเจาะหินน้ำมัน
บ่อแรกสำเร็จในรัฐเพนซิลเวเนีย
-
และคาร์ล เดมเลอร์ก็ได้สร้าง
รถยนต์ที่วิ่งด้วยน้ำมันขึ้น
-
ถ่านหิน น้ำมันดิน และน้ำมัน
กลายเป็นสารเคมีทางอุตสาหกรรม
-
และวัตถุดิบในการผลิตยาที่ช่วยยืดอายุคน
ประชากรยิ่งเร่งการเติบโตเร็วขึ้น
-
พี่น้องตระกูลไรท์ริเริ่ม
การบินด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง
-
ฟริทซ์ ฮาเบอร์และคาร์ล บ็อชผลิตปุ๋ย
จากเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ได้
-
ปุ๋ยและรถแทรคเตอร์พลังน้ำมัน
ขยายการผลิตอาหารอย่างรวดเร็ว
-
เพื่อให้เลี้ยงดูประชากรได้มากขึ้น
-
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเป็นความขัดแย้งครั้งแรก
ที่ดำเนินไปด้วยเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์
-
แล้วตามมาด้วยสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่เราได้จรวดนำวิถีและระเบิดนิวเคลียร์มา
-
ในระหว่างสองสงครามนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
ครั้งใหญ่ที่เกิดจากการผลิตเกินขนาด
-
สายการผลิตที่เดินด้วยพลังเครื่องจักร
ผลิตสินค้าออกมาเร็วเกินกว่าที่มนุษย์ต้องการ
-
ผู้บริหารสายโฆษณาสร้างค่านิยมที่เรียกว่า
บริโภคนิยมขึ้นเพื่อรองรับการผลิตที่เกินขนาด
-
ในช่วงปี 1940-1949 นักโฆษณาใช้โทรทัศน์
-
เป็นเครื่องมือจูงใจผู้บริโภครุ่นใหม่
-
ในช่วงปี 1960-1969 มีวิกฤติน้ำมันเกิดขึ้น
-
ทุกคนตกตะลึงเมื่อตระหนักว่าตนเอง
ต้องพึ่งพาน้ำมันมากมายขนาดไหน
-
ด้วยวิกฤติพลังงานนี่เองที่ทำให้การรณรงค์
เรื่องสิ่งแวดล้อมถือกำเนิดขึ้น
-
แต่เมื่อราคาน้ำมันตกลง
ทุกคนก็หลงลืมความทุกข์ยากในช่วงขาดแคลนพลังงานไป
-
เกิดการดวลกันครั้งสำคัญระหว่างเศรษฐกิจการตลาด
กับเศรษฐกิจแบบวางแผน
-
เศรษฐกิจการตลาดชนะ
ลาก่อนจักรวรรดิโซเวียตอันชั่วร้าย
-
นักการเมืองรวมหัวกันตัดสินกันว่า
เศรษฐกิจการตลาดจะสามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา
-
และแล้วคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็มา
-
โลกาภิวัตน์เข้ามายึดครองเมื่อเศรษฐกิจการตลาดเล็งเห็นว่า
-
ค่าแรงมันถูกกว่ามากในเมืองจีน
-
ในบัดดลทุกคนก็มีโทรศัพท์มือถือ
-
แต่แล้วการผลิตน้ำมันในโลกเกิดชะงักงัน
-
บัดนี้จีนกำลังเผาถ่านหินครึ่งหนึ่งที่ผลิตได้ในโลก
เพื่อผลิตสินค้าส่งออก
-
แต่ในอนาคตจีนจะไปเอาถ่านหินและน้ำมันมาจากไหน
เพื่อหล่อเลี้ยงการเติบโตทางเศรษฐกิจ
-
ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มขึ้นของปริมาณ CO2
นำไปสู่คลื่นความร้อนที่ทุบสถิติเดิม
-
น้ำท่วม ภัยแล้ง ความเป็นกรดที่เพิ่มขึ้นในมหาสมุทร
-
หน้าดินเสื่อมสภาพไป 25 พันล้านตันต่อปี
เนื่องมาจากอุตสาหกรรมการเกษตร
-
ป่าดึกดำบรรพ์ทยอยหายไป
สายพันธุ์สิ่งมีชีวิตสูญไปในอัตราที่เร็วกว่าปกติพันเท่า
-
แหล่งน้ำจืดหาได้ยากขึ้น หรือถูกทำให้เป็นพิษ
-
บริษัทน้ำมันย้ายไปขุดเจาะห่างออกไปเป็นไมล์ๆ ในทะเล
เพราะว่าแหล่งน้ำมันที่ขุดเจาะง่ายได้หมดไปแล้ว
-
แต่แท่นขุดเจาะน้ำลึกแห่งหนึ่งได้ระเบิด
และทำลายความงามอ่าวเมกซิโกไป
-
อุตสาหกรรมการผลิตย้ายฐานไปทำลายสิ่งแวดล้อม
ในประเทศที่มีแรงงานถูก
-
ในขณะที่สหรัฐกลายเป็นแหล่งพนัน
ภาคการเงินมีขนาดคิดเป็น 40% ของเศรษฐกิจ
-
แต่วอลสตรีทได้ใช้อำนาจทางการเงินเกินตัว
-
ธนาคารล้ม การว่างงานทะยานขึ้น เครดิตเหือดหาย
-
เศรษฐกิจอยู่ในภาวะจวนเจียนจะล่มสลาย
-
โอเค ปัจจุบัน
-
มันน่าประหลาดใจจริงๆ
ที่เรามาได้ไกลขนาดนี้ภายในสองร้อยปี
-
เพียงแค่สามชั่วอายุคนเท่านั้น
-
จากการเริ่มต้นยุคอุตสาหกรรมมาถึงปัจจุบัน
-
แต่เรากำลังมุ่งไปไหนกัน?
-
เราไม่สามารถที่จะเพิ่มประชากรมนุษย์เป็นสองเท่า
เราไม่สามารถที่จะทิ้งเศษคาร์บอนไปในบรรยากาศ
ต่อไปเรื่อยๆ ได้
-
เราไม่สามารถที่จะเดินหน้าทำลายหน้าดิน
เพิ่มจำนวนประชากร และขยายการบริโภค
-
หรือวางรากฐานเศรษฐกิจของเราอยู่บนการผลาญเชื้อเพลิง
จากซากดึกดำบรรพ์อย่างไม่หยุดยั้งได้อีกต่อไป
-
เราไม่สามารถที่จะพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้น
เพียงเพื่อแก้วิกฤติหนี้สิน
-
ที่ผ่านมามันเป็นการเดินทางที่น่าตื่นเต้นยินดียิ่ง
แต่ทุกอย่างต้องมีขอบเขต
-
เปล่า มันยังไม่ใช่จุดจบของโลกหรอก
แต่มันมีสี่อย่างที่เราต้องรีบทำ
-
เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์
-
ปรับตัวเข้ากับจุดจบของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างที่เราคุ้นเคยกันมา
-
เลี้ยงมนุษย์เจ็ดพันล้านคนให้รอด
และควบคุมประชากรโลก
ให้อยู่ในระดับที่อยู่กันได้อย่างยั่งยืน
-
และจัดการกับมรดกแห่งความย่อยยับ
ทางสิ่งแวดล้อมของเราให้ได้
-
โดยย่อ เราต้องอยู่รอดให้ได้ภายในงบประมาณ
ทางทรัพยากรหมุนเวียนที่ธรรมชาติมีให้
-
ในอัตราที่เติมเต็มได้ทันโดยธรรมชาติ
-
เราจะทำกันได้มั้ย?
-
เราไม่มีทางเลือก!
-
แหล่งพลังงานทางเลือกเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
-
แต่ไม่มีอะไรที่จะสามารถจะมาแทนเชื้อเพลิง
จากซากดึกดำบรรพ์ได้ในเวลาที่เรามีเหลืออยู่
-
นอกจากนี้เรายังได้ออกแบบและสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
ในการขนส่ง การผลิตและจ่ายไฟฟ้า
-
ตลอดจนเกษตรกรรมให้เหมาะกับ
น้ำมัน ถ่านหิน และ แก๊ส
-
การเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานชนิดอื่น
จะบีบให้เราต้องออกแบบเมือง
-
กระบวนการผลิต ระบบสาธารณสุข
และอื่นๆ ขึ้นใหม่เลยทีเดียว
-
นอกจากนี้เรายังต้องหันมาทบทวนวัฒนธรรม
ค่านิยมต่างๆ กันใหม่ด้วย
-
ไม่มีปัญหาระดับโลกใดๆ เลย
ที่เราสามารถจะแยกแก้ไขแบบเดี่ยวๆ ได้
-
และบางปัญหาอาจไม่มีทางแก้ไขได้อย่างเด็ดขาดด้วยซ้ำ
-
เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะต้องทำอะไรนอกกรอบเดิมๆ
-
เป้าหมายที่ดีที่สุดของเราคือการมีความยืดหยุ่น
-
ความสามารถที่จะผ่อนแรงกระแทกที่มาปะทะ
และดำเนินชีวิตต่อไป
-
ถึงเราเลือกไม่ทำอะไรเลย
เราก็ยังคงต้องผ่านไปสู่ยุคหลังคาร์บอนอยู่ดี
แต่จะเป็นการอยู่อย่างไร้อนาคต
-
แต่ถ้าเราเลือกที่จะวางแผนเพื่อการเปลี่ยนผ่าน
-
เราจะสามารถมีโลกที่รองรับชุมชนอันเข้มแข็ง
ที่มีสุขภาพดี และมีความคิดสร้างสรร
-
พร้อมทั้งระบบนิเวศสำหรับสิ่งมีชีวิตอีกนับล้านๆ สายพันธุ์ได้
-
ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
เราหนีไม่พ้นที่จะต้องเดินทางไปกับมันชั่วชีวิต
-
ทำความเข้าใจกับปัญหาและร่วมมือกันแก้ไข
เราทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว
-
บรรยายโดย: ริชชาร์ด ไฮน์เบอร์ก
-
ภาพประกอบโดย: MONSTRO