-
มนุษย์เรารู้กันมาเป็นพันปีแล้ว
-
เมื่อมองดูสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา
-
จะพบว่ามีสารต่าง ๆ แตกต่างกัน
-
สารที่แตกต่างกันเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วย
-
และไม่เพียงแต่คุณสมบัติที่แตกต่างกันเท่านั้น
-
สารแต่ละชนิด อาจสะท้อนแสงแตกต่างกัน หรืออาจไม่สะท้อนแสงเลย
-
หรืออาจมีสี มีอุณหภูมิที่จำเพาะ
-
อาจเป็นของเหลว หรือก๊าซ หรือของแข็ง
-
มนุษย์เรายังได้สังเกตด้วยว่า
-
สารเหล่านี้ทำปฏิกิริยาต่อกันอย่างไรในสภาวะต่าง ๆ
-
และนี่คือตัวอย่างรูปภาพของสาร
-
ภาพนี้คือคาร์บอน และนี่คือคาร์บอนในรูปแกรไฟต์
-
นี่คือตะกั่ว และภาพนี้คือทอง
-
ซึ่งรูปทั้งหมดนี้
-
จะมีอยู่ในเวปไซต์ตรงโน้นนะครับ
-
สารที่กล่าวมานี้เป็นของแข็งทั้งหมด
-
แต่เราก็รู้ว่าสารบางอย่างอยู่ในอากาศ
-
เป็นอนุภาคในอากาศ
-
ขึ้นอยู่กับว่าอนุภาคในอากาศชนิดไหนที่เรากำลังดู
-
ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอน ออกซิเจน หรือไนโตรเจน
-
ก็ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
-
หรือ มีสารอื่น ๆ ที่เป็นของเหลว
-
หรือ ถ้าคุณเพิ่มอุณหภูมิของสารเหล่านี้ให้สูงพอ
-
เช่น ถ้าเพิ่มอุณหภูมิของทองและตะกั่วให้สูงมากพอ
-
ทองและตะกั่วก็จะเปลี่ยนเป็นรูปของเหลว
-
หรือ ถ้าคุณเผาคาร์บอน
-
ก็จะได้ก๊าซ
-
ซึ่งคุณสามารถปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้
-
คุณสามารถทำให้สารเหล่านี้มีขนาดเล็กลงได้
-
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้คือ
-
สิ่งที่มนุษย์ได้สังเกตเห็นมานานหลายพันปีแล้ว
-
ซึ่งการสังเกตเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามขึ้น
-
แล้วก็นำไปสู่การตั้งคำถามเชิงปรัชญาขึ้น
-
แต่ตอนนี้ เราอาจจะตอบคำถามเหล่านี้ได้บ้าง
-
เช่น ถ้าคุณทำให้คาร์บอนชิ้นนี้
-
แตกออกเป็นชิ้นเล็กลงเรื่อย ๆ
-
จนได้ชิ้นที่เล็กที่สุด
-
ชิ้นเล็ก ๆ เหล่านี้ (ของคาร์บอน)
-
จะยังมีคุณสมบัติของคาร์บอนอยู่หรือไม่?
-
และถ้าคุณทำให้ขนาดเล็กลงไปอีก
-
คุณจะสูญเสียคุณสมบัติต่าง ๆ ของคาร์บอนนี้หรือไม่?
-
คำตอบก็คือ ใช่
-
เรามีคำศัพท์ที่เรียกสารที่มีความแตกต่างกันเหล่านี้
-
ซึ่งเป็นสารบริสุทธิ์ (มีเพียงชนิดเดียว)
-
มีคุณสมบัติที่จำเพาะ ที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ
-
และสามารถทำปฏิกิริยาบางอย่างได้นี้
-
เราเรียกว่า "ธาตุ"
-
คาร์บอนเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ตะกั่วเป็นธาตุชนิดหนึ่ง และทองก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง
-
คุณอาจจะบอกว่า น้ำก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง
-
ในอดีต มนุษย์เชื่อว่าน้ำจัดเป็นธาตุ
-
แต่ตอนนี้ เราทราบแล้วว่า น้ำประกอบด้วยธาตุมากกว่า 1 ชนิด
-
คือออกซิเจน และไฮโดรเจน
-
และธาตุทั้งหมด จะเขียนไว้ที่นี่
-
ใน "ตารางธาตุ"
-
C ย่อมาจากคาร์บอน
-
ผมจะเลือกให้ดูธาตุที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติ
-
ผมจะเลือกให้ดูธาตุที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติ
-
ซึ่งคุณน่าจะคุ้นเคยกับธาตุเหล่านี้อยู่แล้ว
-
เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ซิลิคอน
-
นี่คือ Au คือทองคำ นี่คือตะกั่ว
-
และส่วนประกอบพื้นฐานของธาตุเหล่านี้ ก็คือ "อะตอม"
-
ถ้าคุณทำให้สารเหล่านี้เล็กลงเรื่อย ๆ
-
ถ้าคุณทำให้สารเหล่านี้เล็กลงเรื่อย ๆ
-
ในที่สุด คุณจะได้อะตอมของคาร์บอน
-
เช่นเดียวกันกับทองคำ
-
ในที่สุด คุณจะได้อะตอมของทองคำ
-
เช่นเดียวกันกับสิ่งนี้
-
ในที่สุดคุณจะได้ชิ้นส่วนขนาดเล็กมาก
-
จะใช้คำว่าอะไรดี -- อนุภาค
-
ซึ่งเรียกว่า อะตอมของตะกั่ว
-
และคุณจะไม่สามารถทำให้อะตอมมีขนาดเล็กลงได้อีกต่อไป
-
และยังคงเรียกว่า ตะกั่ว
-
เพราะมันยังมีคุณสมบัติของตะกั่วอยู่
-
...ผมอยากบอกว่า
-
นี่เป็นสิ่งที่ผมมีปัญหาอย่างมากในการจินตนาการ
-
ว่า อะตอมมีขนาดเล็กอย่างไม่น่าเชื่อ
-
จริง ๆ ครับ ....มันมีขนาดเล็กกว่าที่คุณคิด
-
ยกตัวอย่าง... คาร์บอน
-
เส้นผมของผม ก็มาจากคาร์บอน
-
อันที่จริง ตัวผมเกือบทั้งตัว ก็มาจากคาร์บอน
-
ที่จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดก็มาจากคาร์บอน
-
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณดึงเอาเส้นผมของผมไป.. เส้นผมของผมก็เป็นคาร์บอน
-
เส้นผมของผม ประกอบด้วยคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่
-
ดังนั้นถ้าคุณดึงเอาเส้นผมของผมตรงนี้ไป
-
เส้นผมของผมไม่ใช่สีเหลืองนะครับ
-
แต่เส้นผมอันนี้ สีมันตัดกับสีดำ
-
เส้นผมของผมเป็นสีดำ แต่ถ้าผมใช้ของตัวเอง
-
คุณจะไม่มองไม่เห็นบนหน้าจอ
-
... ถ้าคุณเอาเส้นผมไป ผมอยากทราบว่า.....
-
เส้นผมของผม มีคาร์บอนจำนวนกี่อะตอม?
-
ถ้าคุณตัดเส้นผมในแนวขวาง (ไม่ใช่ตามยาว)
-
และถามว่า...
-
มีคาร์บอนจำนวนกี่อะตอม?
-
และคุณอาจจะพอเดาได้ ก็ซัลบอกฉันแล้วว่า อะตอมมีขนาดเล็กมาก
-
ดังนั้น น่าจะมีคาร์บอนจำนวนหลายพันอะตอมตรงนี้
-
หรืออาจเป็นหมื่น หรือเป็นแสน
-
..ผมจะบอกว่า ไม่ใช่หรอกครับ!
-
มีเป็นล้านอะตอมต่างหาก....
-
หรือพูดง่าย ๆ คือ คุณสามารถเอาคาร์บอน 1 ล้านอะตอมมาเรียงต่อกัน
-
จะเท่ากับความกว้างเฉลี่ยของเส้นผมมนุษย์
-
นั่นเป็นการประมาณนะครับ
-
จริง ๆ แล้ว คงไม่ใช่ 1 ล้าน
-
แต่เป็นการเปรียบเทียบให้คุณมองเห็นภาพว่า อะตอมมีขนาดเล็กแค่ไหน
-
ลองนึกดูซิครับ... ดึงเส้นผมจากศีรษะคุณ
-
แล้วเอาอะไรสักอย่างมาเรียงต่อกัน 1 ล้านชิ้น
-
ตามแนวขวางของเส้นผม
-
ไม่ใช่แนวยาวนะครับ... ตามความกว้างของเส้นผม
-
แค่ความกว้างของผมก็มองเห็นยากอยู่แล้ว
-
แต่นี่มีคาร์บอนเรียงกันอยู่ถึง 1 ล้านอะตอม
-
แต่นี่มีคาร์บอนเรียงกันอยู่ถึง 1 ล้านอะตอม
-
ต่อไปนี้ จะเป็นสิ่งที่สุดยอดมากของอะตอม
-
..เรารู้ว่า
-
มีโครงสร้างพื้นฐานที่สุด (อะตอม) ของคาร์บอนอยู่
-
โครงสร้างพื้นฐานที่สุด (อะตอม) ของธาตุใด ๆ
-
แต่สิ่งที่เจ๋งกว่านั้นคือ...
-
โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มีความสัมพันธ์กัน
-
อะตอมของคาร์บอน ยังมีอนุภาคมูลฐานเป็นส่วนประกอบ
-
อะตอมของทองคำ ก็มีอนุภาคมูลฐานเป็นส่วนประกอบ
-
และอะตอมเหล่านี้ จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นมาจาก....
-
การจัดเรียงตัวของอนุภาคมูลฐานเหล่านั้น
-
ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนแปลงจำนวนอนุภาคมูลฐานเหล่านี้
-
ซึ่งถ้าคุณเปลี่ยนแปลงจำนวนอนุภาคมูลฐานเหล่านี้
-
ก็จะทำให้คุณสมบัติของธาตุนั้นเปลี่ยนไป
-
การทำปฏิกิริยากับสารอื่นก็เปลี่ยนไป
-
หรืออาจจะทำให้ธาตุนั้นเปลี่ยนไปเป็นธาตุอื่น
-
...เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
-
เราจะมาคุยกันในรายละเอียดเรื่องนี้
-
สมมติว่า คุณมี "โปรตอน"
-
สมมติว่า คุณมี "โปรตอน"
-
-จำนวนของโปรตอนในนิวเคลียสของอะตอมหนึ่ง ๆ
-
เดี๋ยวผมจะพูดถึงนิวเคลียสทีหลังนะครับ
-
...นี่คือสิ่งที่กำหนดความเป็น "ธาตุ" ว่าธาตุนั้นเป็นธาตุอะไร
-
...นี่คือสิ่งที่กำหนดความเป็น "ธาตุ" ว่าธาตุนั้นเป็นธาตุอะไร
-
ถ้าคุณดูที่ตารางธาตุ..
-
จะเห็นว่า มีการเขียนเรียงลำดับของธาตุตาม "เลขอะตอม"
-
ซึ่ง "เลขอะตอม" นี้
-
ก็คือ จำนวนของโปรตอนในธาตุ นั่นเอง
-
ดังนั้น ตามคำจำกัดความ.. ไฮโดรเจนมี 1 โปรตอน
-
ฮีเลียมมี 2 โปรตอน และคาร์บอนมี 6 โปรตอน
-
คุณไม่สามารถทำให้คาร์บอน มี 7 โปรตอนได้
-
เพราะถ้ามี 7 โปรตอน จะกลายเป็นธาตุไนโตรเจน
-
ไม่ใช่คาร์บอนอีกต่อไป
-
ออกซิเจนมี 8 โปรตอน
-
ถ้าคุณเพิ่มอีก 1 โปรตอนเข้าไป
-
ก็จะไม่ใช่ออกซิเจนอีกต่อไป
-
แต่จะเป็นฟลูออรีนแทน
-
ดังนั้น จำนวนโปรตอนจึงเป็นตัวกำหนดว่าธาตุนั้นเป็นธาตุอะไร
-
เลขอะตอม จำนวนโปรตอน
-
จำนวนโปรตอน ....จำไว้ว่า
-
นั่นคือตัวเลขที่เขียนไว้ทางขวาด้านบนสุดตรงนี้
-
สำหรับแต่ละธาตุในตารางธาตุ
-
-จำนวนโปรตอน
-
จะเท่ากับเลขอะตอม
-
จะเท่ากับเลขอะตอม
-
เลขเหล่านี้จะถูกใส่ไว้ด้านบนนี้ เพราะว่า...
-
ตัวเลขนี้บอกถึงความเป็นธาตุนั้น ๆ (ธาตุนั้นเป็นธาตุอะไร)
-
ส่วนประกอบของอะตอมอีก 2 ส่วน
-
ส่วนประกอบของอะตอมอีก 2 ส่วน
-
ก็คือ "อิเล็กตรอน" และ "นิวตรอน"
-
...คุณลองนึกถึงภาพแบบจำลอง
-
- ซึ่งแบบจำลองนี้ เดี๋ยวเราจะได้เห็นเมื่อเราเรียนเคมีในตอนต่อ ๆ ไป
-
มันจะค่อย ๆ เป็นภาพจินตนาการมากขึ้น
-
ซึ่งค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ
-
แต่เราอาจคิดถึงภาพเหล่านี้ได้ดังนี้
-
.. คุณมีโปรตอนและนิวตรอน
-
อยู่ตรงกลางของอะตอม
-
เรียกว่า "นิวเคลียส" ของอะตอม
-
ตัวอย่างเช่น คาร์บอน ซึ่งมี 6 โปรตอน
-
1, 2, 3, 4, 5 และ 6
-
คาร์บอน 12 ซึ่งเป็นคาร์บอนรูปแบบหนึ่ง
-
จะมี 6 นิวตรอน
-
คาร์บอน อาจมีหลายรูปแบบ
-
ซึ่งมีจำนวนนิวตรอนแตกต่างกัน
-
ดังนั้น จำนวนนิวตรอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จำนวนอิเล็กตรอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้
-
คุณก็ยังได้ธาตุชนิดเดิม
-
แต่จำนวนโปรตอนเปลี่ยนแปลงไม่ได้
-
เพราะถ้าจำนวนโปรตอนเปลี่ยนไป ธาตุนั้นจะเปลี่ยนเป็นธาตุอื่น
-
ดังนั้น ผมจะวาดนิวเคลียสของ คาร์บอน 12
-
1, 2, 3, 4, 5 และ 6
-
ตรงนี้ เป็นนิวเคลียสของคาร์บอน-12
-
บางครั้งจะเขียนแบบนี้
-
หรือบางครั้ง อาจจะเขียนจำนวนโปรตอนลงไปด้วย
-
หรือบางครั้ง อาจจะเขียนจำนวนโปรตอนลงไปด้วย
-
...เหตุผลว่าทำไมเราจึงเขียน คาร์บอน-12
-
-- จำได้ใช่มั้ยครับว่า ผมเขียนนิวตรอนลงไป 6 ตัว
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
นี่คือผลรวมของจำนวนโปรตอนและนิวตรอนที่อยู่ภายในนิวเคลียส
-
ธาตุคาร์บอนนี้ ตามคำจำกัดความมีเลขอะตอมเท่ากับ 6
-
ซึ่งเราจะเขียนไว้ตรงนี้ก่อน
-
เราจะได้จำได้
-
ดังนั้น ตรงกลางของอะตอมของคาร์บอน จะมีนิวเคลียส
-
ซึ่งคาร์บอน-12 จะมี 6 โปรตอนและ 6 นิวตรอน
-
คาร์บอนอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น คาร์บอน 14
-
ก็ยังคงมี 6 โปรตอน แต่จะมี 8 นิวตรอน
-
ดังนั้น จำนวนนิวตรอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้
-
... นี่คาร์บอน 12 อยู่ตรงนี้
-
ถ้าคาร์บอน 12 มีความเป็นกลาง
-
ถ้าคาร์บอน 12 มีความเป็นกลาง
-
ถ้ามันเป็นกลาง จะมี 6 อิเล็กตรอน
-
...ผมจะวาดอิเล็กตรอน 6 ตัวนะครับ
-
1, 2, 3, 4, 5, และ 6
-
นี่เป็นวิธีหนึ่ง ที่จะคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กตรอนและนิวเคลียส
-
นี่เป็นวิธีหนึ่ง ที่จะคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กตรอนและนิวเคลียส
-
นี่เป็นวิธีหนึ่ง ที่จะคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอิเล็กตรอนและนิวเคลียส
-
คือ คุณลองจินตนาการว่า ...
-
อิเล็กตรอนจะวิ่งอยู่รอบ ๆ นิวเคลียส
-
บินหึ่ง ๆ อยู่รอบ ๆ นิวเคลียสนี้
-
นี่เป็นแบบจำลองให้เห็นภาพว่า
-
อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส
-
แต่ที่จริงแล้ว อาจไม่ถูกต้องนัก
-
เพราะอิเล็กตรอนจะไม่ได้วิ่งรอบ ๆ เหมือนกับดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์
-
เพราะอิเล็กตรอนจะไม่ได้วิ่งรอบ ๆ เหมือนกับดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์
-
แต่อย่างน้อยก็ให้นึกภาพตามนี้ไปก่อน
-
หรืออาจจินตนาการว่าอิเล็กตรอน "กระโดด" อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส
-
หรือบินหึ่ง ๆ อยู่รอบ ๆ นิวเคลียส
-
แต่ถ้าคิดแบบนั้นอาจจะดูประหลาดสำหรับการเรียนเคมีระดับนี้
-
แต่ถ้าคิดแบบนั้นอาจจะดูประหลาดสำหรับการเรียนเคมีระดับนี้
-
เพราะเรายังไม่ได้เรียนเกี่ยวกับควอนตัมฟิสิกส์
-
เพื่อให้เข้าใจว่าจริง ๆ แล้วอิเล็กตรอนทำอะไรอยู่
-
เพราะฉะนั้น แบบจำลองแบบแรกที่ควรจำไว้ก่อนคือ
-
ตรงกลางของอะตอมของคาร์บอน 12
-
จะมีนิวเคลียส
-
จะมีนิวเคลียส
-
และมีอิเล็กตรอนกระโดดไปมารอบ ๆ นิวเคลียสนี้
-
... ซึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมอิเล็กตรอนเหล่านี้
-
ไม่หลุดกระเด็นออกไปจากนิวเคลียส
-
แต่กลับติดอยู่กับนิวเคลียสแบบนี้
-
กลายเป็นส่วนหนึ่งของอะตอม
-
ก็เพราะว่า.. โปรตอนมีประจุเป็นบวก
-
และอิเล็กตรอนมีประจุลบ
-
นี่เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของอนุภาคพื้นฐานเหล่านี้
-
ถ้าคุณเริ่มคิดว่า....
-
ประจุคืออะไร
-
ก็จะเริ่มยากขึ้น
-
แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้
-
เวลาเราคุยกันเกี่ยวกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า
-
ก็คือ การที่ประจุที่ต่างกันดึงดูดกันเข้าหากัน
-
นั่นเป็นวิธีคิดที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ
-
โปรตอน กับอิเล็กตรอน
-
เนื่องจากมีประจุแตกต่างกัน
-
จึงดึงดูดเข้าหากัน
-
แต่นิวตรอนเป็นกลาง
-
จึงแค่นั่งอยู่เฉย ๆ ในนิวเคลียส
-
แต่นิวตรอนก็จะมีผลต่อคุณสมบัติของธาตุได้ในบางกรณี
-
สำหรับอะตอบของธาตุบางชนิด
-
ส่วนเหตุผลที่ว่า.. ทำไมอิเล็กตรอนจึงไม่บินออกไปอย่างอิสระ
-
ส่วนเหตุผลที่ว่า.. ทำไมอิเล็กตรอนจึงไม่บินออกไปอย่างอิสระ
-
ก็เพราะว่ามันถูกดึงดูดเข้าหานิวเคลียส
-
ก็เพราะว่ามันถูกดึงดูดเข้าหานิวเคลียส
-
ด้วยแรงดึงดูดที่มากอย่างไม่น่าเชื่อ
-
- มันยากจริง ๆ นะครับ
-
ที่จะอธิบายให้เห็นภาพที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ในเรื่องนี้
-
ที่จะอธิบายให้เห็นภาพที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ในเรื่องนี้
-
ถ้าเราจะมาคุยกันว่า..
-
อิเล็กตรอนนั้น จริง ๆ แล้วทำอะไรอยู่
-
-- ผมว่าพอแค่นี้ก่อน
-
-- ผมว่าพอแค่นี้ก่อน
-
แค่ว่า อิเล็กตรอนกระโดดไปรอบ ๆ ..ก็พอ
-
ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในนิวเคลียสนะครับ
-
ไม่ใช่เข้าไปอยู่ในนิวเคลียสนะครับ
-
มาดูต่อกัน... ผมได้พูดถึงคาร์บอน 12 ไปแล้วว่า
-
จะถูกกำหนดด้วยจำนวนโปรตอน
-
ออกซิเจนจะถูกกำหนดโดยจำนวนโปรตอน 8 ตัว
-
แต่ย้ำอีกครั้งว่า.. อิเล็กตรอนสามารถทำปฏิกิริยากับอิเล็กตรอนอื่น ๆ ได้
-
และอิเล็กตรอนเหล่านี้ก็อาจถูกอะตอมอื่นดึงไปได้
-
ซึ่งความเข้าใจเรื่องอิเล็กตรอนนี้ ที่จริงแล้ว
-
ทำให้เราสามารถเข้าใจเกี่ยวกับเคมีอย่างมาก
-
มันขึ้นอยู่กับว่าอะตอมนั้น ๆ มีกี่อิเล็กตรอน
-
หรือธาตุนั้น ๆ มีกี่อิเล็กตรอน
-
และอิเล็กตรอนเหล่านั้นมีการจัดเรียงตัวอย่างไร
-
รวมทั้งอิเล็กตรอนของธาตุอื่น ๆ ด้วยว่าเรียงตัวกันอย่างไร
-
หรือแม้แต่อะตอมของธาตุเดียวกัน
-
เราลองมาเริ่มทายกันว่า อะตอมของธาตุหนึ่ง ๆ
-
จะทำปฏิกิริยากับอะตอมของอีกธาตุหนึ่งได้อย่างไร
-
หรืออะตอมของธาตุหนึ่ง ๆ จะทำปฏิกิริยา..
-
หรือสร้างพันธะ หรือถูกดึงดูดเข้าหากัน
-
หรือผลักออกจากอะตอมของธาตุอื่นอย่างไร
-
ตัวอย่างเช่น....
-
ซึ่งเราจะได้เรียนต่อไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนหน้า
-
..เป็นไปได้หรือไม่ว่าอะตอมหนึ่ง ๆ
-
จะมาดึงเอาอิเล็กตรอนจากคาร์บอนไป
-
ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
-
.อะตอมที่เป็นกลางของธาตุบางชนิด
-
จะสามารถจับกับอิเล็กตรอนได้ดีกว่าธาตุอื่น
-
ซึ่งอะตอมเหล่านี้
-
อาจดึงเอาอิเล็กตรอนจากคาร์บอนได้
-
ทำให้คาร์บอนมีอิเล็กตรอนน้อยกว่าโปรตอน
-
ทำให้คาร์บอนมีอิเล็กตรอนน้อยกว่าโปรตอน
-
ดังนั้น เราจะมี 5 อิเล็กตรอนและ 6 โปรตอน
-
และจะมีประจุรวมเป็นบวก
-
สำหรับคาร์บอน 12
-
ผมมี 6 โปรตอน และ 6 อิเล็กตรอน ประจุจะหักล้างกันหมด
-
ถ้ามีการสูญเสียอิเล็กตรอน 1 ตัว จะเหลือเพียง 5 ตัว
-
ทำให้ได้ประจุบวก
-
ซึ่งเราจะพูดอย่างละเอียดในตอนหน้า
-
เกี่ยวกับเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ตามหัวข้อ
-
ผมหวังอย่างยิ่งว่า คุณจะชอบนะครับ
-
อย่างน้อย การที่ได้เริ่มต้นครั้งนี้แล้วก็ถือว่าเยี่ยมมากครับ
-
เราก็ได้เข้าใจถึงโครงสร้างมูลฐาน
-
ที่เรียกว่าอะตอม.. แล้วนะครับ
-
และที่ดีกว่านั้น
-
และเรายังรู้ว่าอะตอมนี้
-
ยังประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน
-
ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้
-
ทำให้คุณสมบัติของอะตอมเปลี่ยนไป
-
หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนอะตอมของธาตุหนึ่ง
-
ไปเป็นอะตอมของอีกธาตุหนึ่ง ...