-
วันนี้ ดิฉันอยากคุยกับคุณเรื่อง
คณิตศาสตร์ของความรัก
-
ฉันว่าเราทุกคนคงเห็นตรงกันว่า
-
นักคณิตศาสตร์นี่ขึ้นชื่อว่า
หาแฟนได้เก่งเหลือเกิน
-
แต่ไม่ใช่แค่เพราะบุคลิกภาพที่น่าหลงใหล
-
ทักษะการพูดคุยที่เหนือชั้น
และกล่องดินสอเลิศๆ
-
แต่เป็นเพราะเราได้ลงแรงไปเยอะ
กับการสร้างหลักคณิตศาสตร์
-
สำหรับการหาคู่รักที่สมบูรณ์แบบ
-
บทความที่ฉันชอบที่สุดในเรื่องนี้ ชื่อว่า
-
"ทำไมผมจึงไม่มีแฟน"
(เสียงหัวเราะ)
-
ปีเตอร์ แบคคัส พยายามคำนวณ
โอกาสที่เขาจะพบรัก
-
ปีเตอร์ไม่ใช่คนโลภมากเท่าไหร่
-
จากผู้หญิงทั้งหมดในอังกฤษ
-
ปีเตอร์ต้องการแค่ใครสักคนที่บ้านอยู่ใกล้เขา
-
ใครสักคนที่อายุพอๆ กัน
-
ใครสักคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย
-
ใครสักคนที่น่าจะเข้ากับเขาได้ดี
-
ใครสักคนที่เขาจะรู้สึกชอบ
-
ใครสักคนที่น่าจะชอบเขา
-
(เสียงหัวเราะ)
-
แล้วสรุปว่า ทั้งประเทศอังกฤษ
จะมีผู้หญิงแบบนี้ประมาณ 26 คน
-
ดูท่าไม่ค่อยดีเลยเนอะ
ว่าไหมปีเตอร์
-
ถ้าจะให้เห็นภาพชัดขึ้น
-
ตัวเลขที่ว่านั้น ยังน้อยกว่า
จำนวนสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่มีสติปัญญา
-
ที่มีคนประมาณเอาไว้ถึง 400 เท่า
-
และปีเตอร์ก็มีโอกาส 1 ใน 285,000
-
ที่จะได้เจอหญิงสาวคนพิเศษคนนั้น
-
ในคืนหนึ่งที่เขาไปเที่ยวนอกบ้าน
-
ฉันเชื่อว่านั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม
พวกนักคณิตศาสตร์
-
ถึงไม่เสียเวลาไปท่องราตรีอีกแล้ว
-
แต่จริงๆ แล้ว ส่วนตัวฉันเอง
-
ไม่เชื่อความคิดที่มองโลกแง่ร้ายแบบนี้
-
เพราะฉันรู้ดี เช่นเดียวกับพวกคุณทุกคน
-
ว่าความรักมันไม่ได้ดำเนินไปอย่างนั้น
-
อารมณ์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นระเบียบ
มีเหตุผล และทำนายได้ง่ายแบบนั้น
-
แต่นั่นไม่ได้แปลว่า
-
คณิตศาสตร์ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย
-
เพราะความรัก ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ในชีวิต
ที่มีแบบแผนต่างๆ มากมาย
-
และที่สุดแล้ว คณิตศาสตร์ก็คือการศึกษา
แบบแผนของปรากฏการณ์ต่างๆ นั่นเอง
-
แบบแผนที่ว่ามีตั้งแต่จากการพยากรณ์อากาศ
ไปจนถึงความผันผวนในตลาดหุ้น
-
ไปจนถึงการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์
การเติบโตของเมืองต่างๆ
-
ถ้าจะพูดกันตรงๆ นะ สิ่งเหล่านี้
ก็ไม่มีอันไหนเลย
-
ที่เป็นระเบียบหรือทำนายได้ง่าย
-
แต่เพราะฉันเชื่อในคณิตศาสตร์
ว่ามันมีพลังมาก จนมีศักยภาพ
-
ที่จะช่วยให้เรามีมุมมองใหม่
ในการมองสิ่งต่างๆ เกือบทุกอย่าง
-
แม้แต่อะไรที่ลึกลับมากๆ อย่างความรัก
-
ดังนั้น เพื่อพยายามโน้มน้าวคุณ
-
ว่าคณิตศาสตร์มันน่าทึ่ง เจ๋ง
และสำคัญแค่ไหน
-
ฉันอยากเล่าเคล็ดลับความรักเด็ดสุด 3 อย่าง
ที่พิสูจน์ด้วยคณิตศาสตร์แล้ว
-
โอเค เคล็ดลับเด็ดสุดข้อที่หนึ่ง
-
หาคู่ออนไลน์อย่างไรให้ชนะเลิศ
-
เว็บไซต์หาคู่ออนไลน์ที่ฉันชอบสุดคือ
OkCupid
-
ไม่ใช่แค่เพราะกลุ่มผู้ก่อตั้ง
เป็นนักคณิตศาสตร์
-
แต่เพราะเป็นนักวิทยาศาสตร์
-
เขาจึงเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ
-
ทุกคนที่มาใช้เว็บไซต์ที่ว่า
โดยเก็บมาเกือบสิบปีแล้ว
-
พวกเขากำลังพยายามค้นหาแบบแผน
-
ในวิธีการที่เราพูดถึงตัวเราเอง
-
และวิธีปฏิสัมพันธ์ที่เรามีกับผู้อื่น
-
บนเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์
-
และเขาก็พบผลที่น่าสนใจมาก
ในหลายประเด็น
-
แต่ที่ฉันชอบที่สุด คือ
-
ปรากฏว่า บนเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์นั้น
-
ความสวยหล่อไม่ได้เป็นตัวกำหนด
ว่าจะมีคนสนใจคุณมากแค่ไหน
-
และที่จริง การที่มีคนคิดว่าคุณขี้เหร่
-
อาจมีประโยชน์ต่อตัวคุณ
-
ฉันจะบอกให้ว่าทำไม
-
ในแบบฟอร์มส่วนหนึ่งของ OkCupid
-
คุณสามารถให้คะแนนความสวยหล่อ
ของคนอื่นได้
-
บนมาตรวัดที่มีค่า 1 ถึง 5
-
ทีนี้ ถ้าเราเปรียบเทียบคะแนนความสวยหล่อ
-
กับค่าเฉลี่ยจำนวนข้อความที่เขาได้รับ
-
คุณจะเริ่มเห็นว่า
-
ความสวยหล่อสัมพันธ์กับความเป็นที่สนใจ
ในเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์
-
นี่เป็นกราฟที่คนของ OkCupid สร้างขึ้นมา
-
สิ่งสำคัญที่น่าสังเกตุคือ
มันไม่จริงเสมอไป
-
ว่ายิ่งสวยหล่อ
คุณจะยิ่งได้รับข้อความมากขึ้น
-
คำถามคือ คนที่อยู่ตรงนี้มีอะไรดี
-
ถึงได้มีคนสนใจมากกว่าคนกลุ่มนี้
-
ทั้งที่มีคะแนนความสวยหล่อเท่ากัน
-
และเหตุผลที่ว่า ทำไมสิ่งสำคัญ
จึงไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก
-
ฉันขออธิบายให้เห็นภาพ
ด้วยตัวอย่างอันนี้
-
ถ้าลองดูใครสักคน เช่น
พอร์เทีย เดอ รอสซี่ เป็นต้น
-
ทุกคนเห็นด้วยว่าพอร์เทีย เดอ รอสซี่
เป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง
-
ไม่มีใครคิดว่าเธอขี้เหร่
แต่เธอก็ไม่ได้เป็นสุดยอดนางแบบเช่นกัน
-
ถ้าคุณเปรียบเทียบพอร์เทีย เดอ รอสซี่
กับคนอย่างซารา เจสซิกา พาร์กเกอร์
-
คือ คนจำนวนมาก รวมทั้งตัวฉันเองด้วย
-
คิดว่าซารา เจสซิกา พาร์กเกอร์นั้น
สวยเลิศแบบจริงจัง
-
และอาจเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิต
ที่สวยงามที่สุด
-
ที่เคยเดินอยู่บนพื้นผิวโลกนี้
-
แต่คนอื่นบางคน เช่น
คนส่วนใหญ่ในโลกอินเทอร์เน็ต
-
ดูจะคิดว่าเธอหน้าเหมือนม้า
(เสียงหัวเราะ)
-
ทีนี้ ถ้าคุณให้คนทั่วไปประเมินความสวย
-
ของซารา เจสซิกา พาร์กเกอร์
กับพอร์เทีย เดอ รอสซี่
-
ว่าสวยแค่ไหน
ให้คะแนนจาก 1 ถึง 5
-
ฉันว่าทั้งคู่คงได้คะแนนเฉลี่ยพอๆ กัน
-
แต่แบบแผนการให้คะแนนของคนจะต่างกันมาก
-
คะแนนของพอร์เทียจะเกาะกลุ่มอยู่ใกล้ๆ ค่า 4
-
เพราะทุกคนเห็นด้วยว่าเธอสวย
-
ในขณะที่กรณีซารา เจสซิกา พาร์กเกอร์
ความเห็นจะเป็นสองขั้ว
-
คะแนนของเธอมีการกระจายเยอะมาก
-
และความหลากหลายของคะแนนนี่แหละสำคัญ
-
ความหลากหลายของความเห็นนี่แหละ
ทำให้มีคนสนใจคุณมากขึ้น
-
ในเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์
-
หมายความว่า
-
ถ้าคนบางคนคิดว่าคุณสวยหล่อ
-
คุณจะได้เปรียบกว่า
-
ถ้ามีแค่บางคนคิดว่าคุณสวยน่ามองสุดๆ
-
ดีกว่ากรณีที่คน "ทุกคน" คิดว่า
-
คุณเป็นสาวสวยข้างบ้าน
-
ฉันคิดว่าคุณจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น
-
เมื่อคุณคิดจากมุมของ
คนที่เป็นฝ่ายส่งข้อความมาหา
-
สมมุติคุณคิดว่าใครสักคนสวยหล่อ
-
แต่คุณคิดว่าคนอื่นคงไม่ได้สนใจคนคนนี้เท่าไหร่
-
นั่นหมายความว่าคุณมีคู่แข่งน้อยลง
-
และนั่นคือสิ่งจูงใจเพิ่มเติม
ที่ทำให้คุณติดต่อเขาไป
-
ในขณะที่ ถ้าเทียบกับกรณีที่
คุณคิดว่าใครสักคนสวยหล่อ
-
แต่สงสัยว่าคนอื่นทุกคน
ก็คิดเหมือนกัน
-
ถ้าอย่างนั้น คุณจะหาเรื่อง
ให้ตัวเองเสียหน้าทำไม เอาจริงๆ
-
จุดที่น่าสนใจมากๆ อยู่ตรงนี้แหละ
-
เพราะเวลาคนทั่วไปเลือกรูปมาใช้
ในเว็บหาคู่ออนไลน์
-
เขามักพยายามลดอะไรต่างๆ
-
ที่เขาคิดว่าคนอื่นจะคิดว่าไม่สวย
-
ตัวอย่างคลาสสิกคือ
คนที่อาจจะน้ำหนักเกินไปหน่อย
-
ตั้งใจเลือกรูปที่ตัดช่วงตัวออกไปเยอะๆ
-
หรือผู้ชายหัวล้าน
-
ก็ตั้งใจเลือกรูปที่ตัวเองใส่หมวก
-
แต่นั่นมันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณควรทำ
-
ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในการหาคู่ออนไลน์
-
แทนที่จะทำอย่างนั้น
จริงๆ คุณควรเน้นสิ่งที่ทำให้คุณแตกต่าง
-
ถึงแม้บางคนจะมองว่ามันไม่สวยไม่ดึงดูดใจ
-
เพราะคนที่ชอบคุณ
ยังไงเขาก็ชอบคุณอยู่ดี
-
การมีบางคนที่ไม่ชอบคุณ
กลับเป็นประโยชน์กับคุณเสียอีก
-
โอเค เคล็ดลับความรักสุดเด็ดข้อที่ 2
-
ลองจินตนาการว่าคุณประสบความสำเร็จสูงมาก
-
ในการหาคู่
-
แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า
แล้วจะเปลี่ยนคนที่ใช่นั้น
-
ให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ในระยะยาวได้อย่างไร
-
พูดให้ชัดขึ้นคือ คุณจะรู้ได้ยังไง
ว่าถึงเวลาลงหลักปักฐานแล้ว
-
ทีนี้ โดยทั่วไป เราไม่ควรตกลงปลงใจ
-
แต่งงานกับคนแรกที่ผ่านเข้ามา
-
และแสดงความสนใจในตัวคุณ
-
แต่คุณก็ไม่ควรปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเกิน
-
ถ้าคุณต้องการเพิ่มโอกาส
ที่จะมีความสุขในระยะยาว
-
อย่างที่เจน ออสเต็น
นักเขียนคนโปรดของฉันกล่าวไว้
-
"ผู้หญิงโสดอายุ 27
-
ก็หมดหวังแล้วที่จะรู้สึก
หรือทำให้คนมารักชอบได้อีก"
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ขอบคุณมาก เจน
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับความรักบ้างนะ?
-
ทีนี้ คำถามคือ
-
คุณจะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลาที่ควร
ตกลงปลงใจกับใครสักคน
-
จากคนทั้งหมด
ที่คุณมีโอกาสคบด้วยตลอดชีวิตนี้
-
โชคดีนะ เรามีหลักคณิตศาสตร์เจ๋งๆ
ที่สามารถเอามาใช้ช่วยเราในกรณีนี้
-
เรียกว่า ทฤษฎีการหยุดที่จุดที่ดีที่สุด
(optimal stoppping theory)
-
ลองจินตนาการนะคะ
-
ว่าคุณเริ่มมีแฟนตอนอายุ 15
-
และคุณหวังว่าจะแต่งงานก่อนอายุ 35
-
ก็จะมีคนจำนวนหนึ่ง
-
ที่คุณคบเป็นแฟนด้วยตลอดชีวิตนี้
-
แล้วแต่ละคนก็ดีมากดีน้อยต่างกัน
-
กติกามีอยู่ว่า
เมื่อคุณตกลงแต่งงานกับใครแล้ว
-
คุณไม่สามารถมองไปข้างหน้าว่า
มีใครที่จะเข้ามาอีก
-
และคุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจ
ย้อนไปหาคนเก่าที่ผ่านมาแล้วได้
-
อย่างน้อยในประสบการณ์ของฉัน
-
ฉันพบว่า คนทั่วไป
ไม่ชอบเป็นตัวสำรองรอถูกเรียก
-
หลังจากถูกทิ้งไปหาคนอื่นแล้วตั้งหลายปี
-
คณิตศาสตร์บอกเราว่า สิ่งที่คุณควรทำ
-
กับคน 37 เปอร์เซ็นต์แรกที่เข้ามาจีบ
-
คือปฏิเสธไปให้หมด
อย่าคิดไปแต่งงานด้วย
-
(เสียงหัวเราะ)
-
จากนั้น คุณควรเลือกคนต่อไปที่เข้ามาจีบ
-
ที่ดีกว่าทุกคนที่คุณเคยได้เจอมา
-
ลองมาดูตัวอย่างนะคะ
-
เราสามารถพิสูจน์ได้
ด้วยคณิตศาสตร์นะคะ
-
ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้
-
ในการเพิ่มโอกาสสูงสุด
ที่จะได้พบเจอคู่รักที่สมบูรณ์แบบ
-
แต่ฉันเสียใจที่ต้องบอกว่า
วิธีนี้ก็มาพร้อมความเสี่ยง
-
เช่น ถ้าคู่รักที่สมบูรณ์แบบของคุณ
-
มาปรากฏตัวในกลุ่ม 37 เปอร์เซ็นต์แรก
-
เสียใจด้วยค่ะ คุณต้องปฏิเสธเขาไป
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ทีนี้ คิดต่อตามหลักคณิตศาสตร์
-
ทุกคนที่เข้ามาหลังจากนั้น
-
อาจไม่มีใครดีกว่าคนที่คุณเคยได้เจออีกเลย
-
คุณก็ต้องผ่านไป ปฏิเสธทุกคน
แล้วตายอย่างโดดเดี่ยว
-
(เสียงหัวเราะ)
-
อาจจะมีฝูงแมวมาแทะซากคุณบ้าง
-
เอาล่ะ ความเสี่ยงอีกอย่างคือ
ลองจินตนาการนะคะ
-
ว่าคนที่คุณคบด้วยใน 37 เปอร์เซ็นต์แรกนั้น
-
เป็นคนที่ม น่าเบื่อ และนิสัยแย่มาก
-
แต่ไม่เป็นไร เพราะคุณอยู่ในช่วงการปฏิเสธ
-
ก็ผ่านพวกนี้ไป
-
แต่ลองคิดดูนะคะ
คนต่อไปที่เข้ามา
-
อาจจะน่าเบื่อ ทึ่ม และนิสิยแย่
-
น้อยกว่าคนก่อนๆ แค่เล็กน้อย
-
ถ้าคุณทำตามหลักคณิตศาสตร์
ฉันเกรงว่าคุณจะต้องแต่งงานกับเขา
-
แล้วลงเอยด้วยความสัมพันธ์ที่
บอกตรงๆ ว่า ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
-
เสียใจด้วยนะ
-
แต่ฉันคิดว่ามันก็มีอะไรดีๆ แฝงอยู่นะ
-
บริษัทผลิตการ์ดฮอลมาร์กจะได้มีตลาดใหม่
-
เป็นการ์ดวาเลนไทน์แบบนี้
(เสียงหัวเราะ)
-
"คุณสามีที่รัก คุณคือคนที่แย่น้อยกว่า
-
ผู้ชาย 37 เปอร์เซ็นต์แรกที่ฉันเคยคบ"
-
ฟังดูโรแมนติกกว่าที่ปกติฉันเคยพูดนะนี่
-
โอเค วิธีนี้ไม่ได้ให้ผลสำเร็จ
100 เปอร์เซ็นต์
-
แต่ไม่มีกลยุทธ์อื่นใดที่ได้ผลดีกว่านี้
-
และที่จริง ในธรรมชาติก็มีปลาบางชนิด
-
ที่มีพฤติกรรมตามกลยุทธ์นี้เป๊ะๆ เลย
-
คือ ไม่เลือกคู่ที่เจอกันในช่วง
-
37 เปอร์เซ็นต์แรกของฤดูผสมพันธุ์เลย
-
แล้วจึงเลือกปลาตัวต่อไป
ที่เจอกันหลังจากช่วงเวลานั้น
-
ที่แบบ ตัวใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า
-
ปลาทั้งหมดที่เคยเจอมาก่อนหน้านั้น
-
ฉันเชื่อด้วยว่า ลึกๆ ในจิตใต้สำนึก
มนุษย์เราก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว
-
เราให้เวลาตัวเองวิ่งเล่นในท้องทุ่งสักพัก
-
ลองดูตลาดว่าเป็นยังไง อะไรทำนองนั้น
ตอนที่เรายังอายุน้อย
-
แล้วจึงเริ่มมองหาตัวเลือก
คนที่จะแต่งงานด้วยอย่างจริงจัง
-
ตอนเราอายุยี่สิบกลางๆ ถึงยี่สิบปลายๆ
-
ฉันว่านี่คือข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน
ถ้าเรายังต้องการหลักฐานเพิ่ม
-
ว่าสมองของคนเราทุกคนถูกสร้างมา
ให้มีความสามารถทางคณิตศาสตร์อยู่บ้างแล้ว
-
โอเค นั้นคือเคล็ดลับสุดเด็ดข้อที่สอง
-
ทีนี้ มาข้อที่สาม
เราจะหลีกเลี่ยงการหย่าร้างอย่างไร
-
โอเค สมมุติว่า
คุณเลือกคู่ที่สมบูรณ์แบบแล้ว
-
และคุณก็ลงหลักปักฐาน
ในความสัมพันธ์ตลอดชีวิตกับเขา
-
ทีนี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากหย่าร้าง
-
เว้นแต่ ไม่รู้สิ อย่างภรรยาของปิแอร์ มอร์แกน มั้ง
-
แต่มันน่าเศร้า
ที่ข้อเท็จจริงของชีวิตสมัยใหม่คือ
-
การแต่งงานครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
จบลงด้วยการหย่าร้าง
-
ประเทศอื่นๆ ในโลกก็ไม่แพ้กันมากนัก
-
ทีนี้ คุณไม่ผิดเลยถ้าคิดว่า
-
การโต้แย้งที่เกิดก่อนการแยกทาง
-
ไม่ใช่สิ่งที่จะศึกษาด้วยคณิตศาสตร์ได้
-
ประการแรก เพราะมันยากมาก
-
ที่จะกำหนดว่าควรวัดอะไร
-
แต่นั่นไม่ได้หยุดนักจิตวิทยา
ชื่อจอห์น ก็อตแมน ซึ่งทำอย่างนั้นเลย
-
ก็อตแมนสังเกตคู่สมรสร้อยๆ คู่สนทนากัน
-
แลัวบันทึกทุกอย่างที่คุณจะนึกออก
-
เขาบันทึกว่าทั้งคู่พูดอะไรในการสนทนา
-
วัดระดับการนำไฟฟ้าของผิวหนัง
-
บันทึกการแสดงออกทางสีหน้า
-
อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต
-
ทุกอย่างเลยจริงๆ ยกเว้นเรื่องที่ว่า
ตกลงภรรยาถูกเสมอจริงหรือเปล่า
-
ซึ่งบังเอิญภรรยาถูกเสมออยู่แล้วค่ะ
-
แต่สิ่งที่ก็อตแมนกับทีมของเขาพบคือ
-
ตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่ทำนายได้
-
ว่าคู่สมรสจะหย่าร้างกันไหม
-
คือ แต่ละฝ่ายแสดงพฤติกรรมทางบวกหรือทางลบ
มากหรือน้อยในการสนทนา
-
คู่สมรสที่มีความเสี่ยงหย่าร้างต่ำ
-
มีคะแนนพฤติกรรมทางบวกมากกว่าทางลบ
บนมาตรวัดของก็อตแมน
-
ขณะที่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดี
-
คือคู่ที่กำลังจะหย่าร้าง
-
เขาพบว่าการสนทนาจะเป็นวงจรทางลบ
ที่แย่ลงเรื่อยๆ
-
จากแนวคิดที่เรียบง่ายสุดๆ นี้
-
ก็อตแมนและทีมวิจัยสามารถทำนาย
-
ว่าคู่สมรสคู่ไหนจะหย่าร้าง
-
ด้วยความแม่นยำ 90 เปอร์เซ็นต์
-
แต่เมื่อเขาร่วมงานกับนักคณิตศาสตร์
ชื่อเจมส์ เมอร์เรย์
-
พวกเขาก็เริ่มเข้าใจอย่างถ่องแท้มากขึ้น
-
ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดวงจรทางลบ
และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
-
ผลที่เขาพบ
-
ซึ่งฉันว่ามันน่าสนใจและเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
-
สมการเหล่านี้ ทำนายได้ว่าภรรยาและสามี
-
จะตอบสนองว่าอะไรต่อไปในการสนทนา
-
มีลักษณะเป็นบวกหรือลบมากแค่ไหน
-
และสมการนี้ มันขึ้นอยู่กับ
-
อารมณ์ปกติของแต่ละคนเมื่ออยู่คนเดียว
-
อารมณ์ของแต่ละคนเมื่อเขาอยู่กับคู่รัก
-
แต่ที่สำคัญที่สุด มันขึ้นอยู่กับว่า
-
สามีกับภรรยามีอิทธิพลต่อกันและกันมากแค่ไหน
-
ฉันคิดว่าจุดนี้สำคัญที่ต้องบอก
ณ เวทีนี้เลยว่า
-
สมการเดียวกันนี้เลย
สามารถเอาไปใช้
-
ทำนายและบรรยาย
-
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ
ที่แข่งขันกันสะสมอาวุธ
-
(เสียงหัวเราะ)
-
ดังนั้น คู่สมรสที่กำลังโต้เถียง
ดิ่งลงสู่วงจรทางลบ
-
และตกอยู่ในภาวะหมิ่นเหม่ที่จะหย่าร้าง
-
มีแบบแผนทางคณิตศาสตร์
เหมือนการเริ่มต้นสงครามนิวเคลียร์
-
(เสียงหัวเราะ)
-
แต่ตัวแปรที่สำคัญจริงๆ ในสมการนี้คือ
-
อิทธิพลที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกัน
-
พูดให้เจาะจงลงไปคือ สิ่งที่เรียกว่า
ขีดจำกัดความอดทนต่อเรื่องทางลบ
-
ขีดจำกัดความอดทนต่อเรื่องทางลบนี้
-
ก็คือสามีจะทำตัวน่ารำคาญได้มากแค่ไหน
-
ก่อนที่ภรรยาจะเริ่มหงุดหงิด
หรือในทางกลับกัน
-
ฉันเองเคยคิดว่าชีวิตแต่งงานที่ดี
ต้องประณีประนอมและเข้าใจกัน
-
และยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งมีพื้นที่
เป็นตัวของตัวเอง
-
ฉันเลยคิดว่า ความสัมพันธ์
ที่ประสบความสำเร็จที่สุดนั้น
-
คือความสัมพันธ์ที่ทั้งสองฝ่าย
มีขีดจำกัดความอดทนต่อเรื่องทางลบสูง
-
คู่สมรสต่างปล่อยเรื่องไม่พอใจผ่านไป
-
จะพูดออกมาก็เฉพาะเรื่องใหญ่ๆ เท่านั้น
-
แต่ที่จริงแล้ว คณิตศาสตร์และ
ข้อค้นพบจากทีมวิจัยของก็อตแมน
-
แสดงว่าความจริงกลับเป็นตรงกันข้าม
-
คู่สมรสที่ดีที่สุด
หรือประสบความสำเร็จในชีวิตคู่มากที่สุด
-
คือคู่ที่มีขีดจำกัดความอดทน
ต่อเรื่องทางลบต่ำ
-
ที่ไม่ปล่อยให้ปัญหาอะไรเล็ดลอดสายตา
-
และเปิดโอกาสให้ต่างฝ่ายต่างได้บ่น
-
เป็นคู่ที่พยายามซ่อมแซมความสัมพันธ์
ของตนเองอย่างต่อเนื่อง
-
มีมุมมองทางบวกต่อชีวิตสมรสของตน
-
คู่สมรสที่ไม่ปล่อยอะไรผ่านไป
-
ไม่ปล่อยให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
กลายเป็นเรื่องใหญ่โต
-
ทีนี้ แน่ละ มันต้องมีอะไรมากกว่า
ขีดจำกัดความอดทนต่อเรื่องทางลบต่ำ
-
และการไม่ประนีประนอม
ที่ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ
-
แต่ฉันคิดว่ามันน่าสนใจมาก
-
ที่รู้ว่าจริงๆ มันมีหลักฐานทางคณิตศาสตร์
-
ที่บอกว่า คุณไม่ควรปล่อย
รอคอยให้เรื่องที่คุณโกรธซาไปเอง
-
นั่นคือเคล็ดลับเด็ดสุดสามข้อของฉัน
-
ว่าคณิตศาสตร์สามารถช่วยคุณในเรื่อง
ความรักและความสัมพันธ์ได้อย่างไร
-
แต่ฉันหวังว่า นอกจากประโยชน์
ในฐานะเคล็ดลับแล้ว
-
มันคงช่วยให้คุณเข้าใจพลังของคณิตศาสตร์
มากขึ้นอีกนิดหนึ่ง
-
เพราะสำหรับฉัน สมการและสัญลักษณ์
ไม่ใช่แค่สิ่งของ
-
มันคือเสียงที่เล่าเรื่อง
ความรุ่มรวยอันน่าเหลือเชื่อของธรรมชาติ
-
และความเรียบง่ายอย่างน่าทึ่ง
-
ในแบบแผนที่บิด หมุน โค้งงอ
และค่อยๆ พัฒนาขึ้นรอบตัวเรา
-
จากวิถีของโลก และพฤติกรรมของเรา
-
ฉันจึงหวังว่า บางที
สำหรับพวกคุณบางคน
-
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่ได้จาก
คณิตศาสตร์ของความรักนี้
-
คงสามารถโน้มน้าวให้คุณ
รักคณิตศาสตร์มากขึ้นสักนิด
-
ขอบคุณค่ะ
-
(เสียงปรบมือ)