แดน เดนเน็ตต์ : น่ารัก - เซ็กซี่ - หวาน - ตลก
-
0:00 - 0:03ผมกำลังจะออกเดินทางทั่วโลกเพื่อไปบรรยายเรื่องเกี่ยวกับ (ชาร์ลส์) ดาร์วิน
-
0:03 - 0:05และปกติสิ่งที่ผมจะบรรยาย
-
0:05 - 0:08ก็คือ การที่ดาร์วิน "ให้เหตุให้ผลกลับทิศกลับทางอย่างประหลาด"
-
0:08 - 0:13ฉายานั้น วลีนั้น มาจากนักวิจารณ์ครับ นักวิจารณ์ในยุคต้นๆ
-
0:13 - 0:17และนี่เป็นข้อความที่ผมชอบมากและอยากจะอ่านให้คุณฟัง
-
0:17 - 0:22"ในทฤษฎีที่เราจะต้องทำความเข้าใจนี้ "อวิชชาสูงสุด (Absolute Ignorance)" ถือเป็นผู้สร้าง
-
0:22 - 0:27เพื่อที่เราจะกล่าวอย่างชัดเจนได้ถึงหลักการที่เป็นฐานรากของทั้งระบบ
-
0:27 - 0:30ว่า ในการที่จะสร้างเครื่องจักรกลให้สวยงามสมบูรณ์แบบ
-
0:30 - 0:33ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้วิธีการสร้างมันขึ้นมา
-
0:33 - 0:37ข้อสรุปนี้สามารถพบได้ด้วยการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เพื่อนำเสนอ
-
0:37 - 0:41ในรูปแบบกระชับของใจความหลักที่เป็นแก่นของทฤษฎี
-
0:41 - 0:45และในการนำเสนอด้วยคำเพียงสองสามคำในสิ่งที่คุณดาร์วินหมายความทั้งหมด
-
0:45 - 0:49ด้วยการให้เหตุให้ผลกลับทิศกลับทางอย่างประหลาดเช่นนี้ ดาร์วิน
-
0:49 - 0:52ดูเหมือนจะคิดว่า อวิชชาสูงสุด มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะก้าวขึ้นไปอยู่
-
0:52 - 0:58ในตำแหน่งของ "ปัญญาสูงสุด (Absolute Wisdom)" ในการบรรลุผลของทักษะที่สร้างสรรค์"
-
0:58 - 1:05ใช่เลยครับ ใช่เลย และนี่คือการกลับทิศกลับทางอย่างประหลาด
-
1:05 - 1:09จุลสารของพวกที่เชื่อในทฤษฎีผู้สร้างมีอยู่หน้านึงที่เด็ดดวงมาก:
-
1:09 - 1:11"ข้อทดสอบอันดับ 2:
-
1:11 - 1:15คุณรู้จักอาคารไหนบ้างไหมที่ไม่มีผู้สร้างมันขึ้นมา? เคย ไม่เคย
-
1:15 - 1:18คุณรู้จักภาพเขียนภาพไหนบ้างไหมที่ไม่มีผู้เขียนมันขึ้นมา? เคย ไม่เคย
-
1:18 - 1:22คุณรู้จักรถคันไหนไหมที่ไม่มีผู้ผลิตมันขึ้นมา? เคย ไม่เคย
-
1:22 - 1:27ถ้าคำตอบของคุณคือ "เคย" กับคำถามข้อใดก็ได้บนนี้ โปรดระบุรายละเอียดมา"
-
1:27 - 1:33เอาเข้าแล้ว ผมว่ามันเป็นการให้เหตุให้ผลกลับทิศกลับทางอย่างประหลาดจริงๆ นั่นแหละครับ
-
1:33 - 1:37เราคิดกันมาก่อนหน้านั้นว่า ด้วยเหตุด้วยผลแล้ว
-
1:37 - 1:41ผลงานออกแบบจะต้องมาจากผู้ออกแบบผู้ฉลาดปราดเปรื่อง
-
1:41 - 1:43แต่ดาร์วินแสดงให้เห็นว่า ผิดถนัด
-
1:43 - 1:48แต่วันนี้ผมจะมาพูดเรื่อง การให้เหตุให้ผลกลับทิศกลับทางอย่างประหลาดอีกอันหนึ่งของดาร์วิน
-
1:48 - 1:54ที่สร้างความสับสนงงงันไม่แพ้กันในตอนแรก แต่ก็ดูจะมีความสำคัญไม่แพ้กันเช่นกัน
-
1:54 - 2:01นับกันว่าเป็นเหตุเป็นผลที่ว่า เราชอบกินเค้กช็อกโกแลตก็เพราะว่ามันหวานดี
-
2:01 - 2:07หนุ่มๆจะสนใจสาวๆ รูปร่างแบบนี้เพราะว่าพวกเธอดูเซ็กซี่ดี
-
2:07 - 2:11เราชอบเรารักเด็กเล็กๆ ก็เพราะว่าพวกเขาดูน่ารักน่าชัง
-
2:11 - 2:20และ แน่นอนที่สุด เรามีอารมณ์ขันกับเรื่องตลกก็เพราะว่ามันตลกขบขัน
-
2:20 - 2:27ทั้งหมดนี่กลับทิศกลับทางกันไปหมด จริงๆ ครับ และดาร์วินเสนอให้เรารู้ว่าทำไม
-
2:27 - 2:35เริ่มจากความหวานก่อน การที่เราชอบกินหวาน จริงๆ แล้วมาจากตัวตรวจจับน้ำตาลที่วิวัฒนาการขึ้นมา
-
2:35 - 2:39เพราะว่าน้ำตาลให้พลังงานสูงมาก ก็เลยถูกดึงไปรวมอยู่ในกลุ่มของโปรด
-
2:39 - 2:44พูดอย่างคร่าวๆ นะครับ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราชอบน้ำตาล
-
2:44 - 2:51น้ำผึ้งหวานได้เพราะเราชอบกิน แต่ไม่ใช่ "เราชอบกินน้ำผึ้งเพราะมันหวาน"
-
2:51 - 2:56น้ำผึ้งไม่ได้มีความหวานอะไรที่เป็นธรรมชาติโดยเนื้อแท้
-
2:56 - 3:00ถ้าเราจ้องดูโมเลกุลกลูโคสจนเราตาบอดไปเลย
-
3:00 - 3:03เราก็จะไม่มีทางรู้ว่าทำไมมันถึงรสหวาน
-
3:03 - 3:09เราต้องไปดูที่สมองของเราในการทำความเข้าใจว่าทำไมมันรสหวาน
-
3:09 - 3:11ถ้างั้น ถ้าเราคิดว่าความหวานมีมาแต่แรก
-
3:11 - 3:13จากนั้นเราจึงมีวิวัฒนาการที่จะชอบความหวาน
-
3:13 - 3:17นั่นเป็นการคิดกลับทิศกลับทางครับ นั่นผิดอย่างแรงครับ มันเป็นอีกแบบหนึ่งต่างหาก
-
3:17 - 3:21ความหวานก่อเกิดขึ้นมาจากความต้องการที่ผ่านวิวัฒนาการ
-
3:21 - 3:25และพวกสาวๆ นี่ก็ไม่ได้มีความเซ็กซี่อะไรที่เป็นธรรมชาติโดยเนื้อแท้
-
3:25 - 3:30ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่ไม่ได้มีแบบนั้น เพราะถ้าเกิดว่าเป็น
-
3:30 - 3:34ก็หมายถึงว่าธรรมชาติมีปัญหาแล้วหละ
-
3:34 - 3:39จะทำอย่างไรล่ะครับที่จะให้ลิงชิมแปนซีผสมพันธุ์กัน?
-
3:41 - 3:49คราวนี้เราอาจจะคิดว่า นั่นไง มีทางออกสิ: การเห็นภาพหลอนไง
-
3:49 - 3:53นั่นเป็นวิธีหนึ่งครับ แต่มีวิธีที่เร็วกว่านั้น
-
3:53 - 3:56ก็แค่ทำให้ลิงชิมแปนซีชอบลักษณะแบบนั้น
-
3:56 - 3:59และอย่างที่เห็น มันก็ชอบแบบนั้น
-
3:59 - 4:03เท่านั้นเองครับ
-
4:04 - 4:08กว่าหกล้านปีที่พวกเรากับลิงชิมแปนซีมีวิวัฒนาการมาทางใครทางมัน
-
4:08 - 4:11เรามีร่างกายปราศจากขนยาว ซึ่งแปลกเอาการ
-
4:11 - 4:15เพราะเหตุใดเหตุหนึ่งนี่แหละ พวกมันกลับไม่เป็นอย่างเรา
-
4:15 - 4:27ถ้าวิวัฒนาการเราไม่เป็นแบบนั้น ความเซ็กซี่สุดยอดของเราอาจจะหน้าตาออกมาแบบนี้
-
4:27 - 4:32เราชอบของหวานๆ ก็เป็นวิวัฒนาการของความพึงใจตามสัญชาตญาณที่ต้องการอาหารพลังงานสูง
-
4:32 - 4:35แต่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ชอบเค้กช็อกโกแลต
-
4:35 - 4:38เค้กช็อกโกแลตเป็น 'ตัวกระตุ้นเกินขีดธรรมชาติ'
-
4:38 - 4:40ศัพท์คำนี้เป็นของ นิโค ทินเบอร์เจน (Niko Tinbergen)
-
4:40 - 4:42ผู้ทำการทดลองที่เป็นที่รู้จัก กับนกนางนวล
-
4:42 - 4:46ซึ่งเขาค้นพบว่าจุดสีส้มที่จงอยปากนกนางนวล --
-
4:46 - 4:48ถ้าเขาทำจุดสีส้มเข้มขึ้นใหญ่ขึ้น
-
4:48 - 4:50นกนางนวลสาวๆ จะจิกตรงจุดนั้นแรงขึ้น
-
4:50 - 4:53มันเป็นตัวกระตุ้นระดับสูงมากสำหรับนกสาวๆ และนกสาวๆ ก็ชอบจุดนี้
-
4:53 - 4:57สิ่งที่เราเห็นในกรณีอย่างเค้กช็อกโกแลต
-
4:57 - 5:02คือตัวกระตุ้นเกินขีดธรรมชาติที่บิดกระตุกธรรมชาติของเรา
-
5:02 - 5:05และมีตัวกระตุ้นเกินขีดธรรมชาติมากมาย เค้กช็อกโกแลตเป็นหนึ่งในนั้น
-
5:05 - 5:08มีตัวกระตุ้นเกินขีดธรรมชาติสำหรับความเซ็กซี่อยู่มากมาย
-
5:08 - 5:14แล้วก็ยังมีตัวกระตุ้นเกินขีดธรรมชาติสำหรับความน่ารักด้วย ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่เข้าท่า
-
5:14 - 5:19เป็นเรื่องสำคัญมากที่เรารักเด็ก และเราก็ไม่รังเกียจอะไรอย่างเช่นผ้าอ้อมเลอะเทอะ
-
5:19 - 5:25เด็กเล็กๆ จำเป็นจะต้องได้รับความรักและการเลี้ยงดูจากพวกเรา และเขาก็ได้รับตามนั้น
-
5:25 - 5:29เอ้อ มีอีกอย่างครับ การศึกษาล่าสุดพบว่า คนเป็นแม่
-
5:29 - 5:32ชอบใจกลิ่นผ้าอ้อมเลอะเทอะของลูกตัวเอง
-
5:32 - 5:35ธรรมชาติทำงานในหลายๆ ระดับ
-
5:35 - 5:40ถ้าเด็กเล็กๆ หน้าตาไม่เหมือนที่เป็นอยู่ ถ้าหน้าตาพวกเขาเป็นแบบนี้ล่ะ
-
5:40 - 5:44เราก็จะรักใคร่ชอบใจอยู่ดี นั่นจะเป็นอะไรที่เราเห็นว่า
-
5:44 - 5:50ที่เราคิดว่า อื้อหือ ตัวเล็กนี่น่ารักน่ากอดชะมัดเลย
-
5:50 - 5:52นี่เป็นการกลับทิศกลับทางอย่างประหลาด
-
5:52 - 5:59มาคราวนี้ เรื่องสุดท้ายก็เกี่ยวกับความตลกขบขัน คำตอบก็คือมันเป็นเรื่องคือๆ กัน เหมือนๆ กัน
-
5:59 - 6:03แต่เรื่องนี้เป็นอันที่ยาก ไม่ชัดเจนออกมาให้เห็น นั่นเป็นเหตุให้ผมทิ้งไว้ในตอนท้ายสุด
-
6:03 - 6:05และผมก็ไม่สามารถจะอธิบายเรื่องนี้ได้มากนัก
-
6:05 - 6:11แต่เราต้องคิดในแง่วิวัฒนาการ เราจะต้องคิด งานยากที่จะต้องทำ
-
6:11 - 6:14มันเป็นงานเลอะเทอะน่าเบื่อที่ใครสักคนจะต้องทำ
-
6:14 - 6:22มีความสำคัญมากที่จะต้องตบรางวัลขนานใหญ่ที่ฝังอยู่แล้วในตัวเราเมื่อเราทำอะไรได้สำเร็จ
-
6:22 - 6:26เอาล่ะ ผมคิดว่าเราค้นพบคำตอบแล้ว ผมกับเพื่อนร่วมทีมวิจัยอีกสองสามคน
-
6:26 - 6:30มันเป็นเพราะระบบประสาทที่ต่อเชื่อมกับการให้รางวัลสมอง
-
6:30 - 6:35สำหรับการทำงานที่น่าเบื่อจำเจ
-
6:36 - 6:40ถ้าเป็นสติ๊กเกอร์ติดรถก็จะบอกทำนองว่า
-
6:40 - 6:43มันเป็นความสนุกสนานของการแก้ไขจุดบกพร่อง
-
6:43 - 6:45ผมคงไม่มีเวลาอธิบายได้หมด
-
6:45 - 6:50แต่ผมอยากจะพูดแค่ว่ามีเพียงการแก้ไขจุดบกพร่องบางประเภทที่จะได้รับรางวัล
-
6:50 - 6:58และสิ่งที่เราทำก็คือ เราใช้เรื่องตลกเป็นทำนองเครื่องตรวจสอบทางประสาทวิทยา
-
6:58 - 7:02โดยเปิดปิดสวิตช์อารมณ์ขัน โดยบิดเร่งอัตราความขบขันของเรื่องตลก
-
7:02 - 7:04อื๊อ ตอนนี้อันนี้ไม่เห็นจะตลก ... อ่ะ ตอนนี้ มันตลกขึ้นอีกนิดนึง
-
7:04 - 7:06คราวนี้ เราเร่งอัตราขึ้นอีกเพียงนิดเดียว ... ตอนนี้ ไม่ตลกซะแล้ว
-
7:06 - 7:09ด้วยวิธีนี้ เราสามารถเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง
-
7:09 - 7:11ในเรื่องสถาปัตยกรรมของสมอง
-
7:11 - 7:13สถาปัตยกรรมด้านการทำงานของสมอง
-
7:13 - 7:18แมทธิว เฮอร์ลีย์ เป็นคนแรกที่เขียนเรื่องนี้ไว้ เราเรียกว่า แบบจำลองเฮอร์ลีย์ (Hurley Model)
-
7:18 - 7:22เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เรจินัลด์ อดัมส์ (Reginal Adams) เป็นนักจิตวิทยา และนี่ก็ผม
-
7:22 - 7:24และพวกเราได้บรรจุเนื้อหาพวกนี้ไว้ในหนังสือ
-
7:24 - 7:27ขอบคุณมากๆครับ
- Title:
- แดน เดนเน็ตต์ : น่ารัก - เซ็กซี่ - หวาน - ตลก
- Speaker:
- Dan Dennett
- Description:
-
ทำไมเด็กเล็กๆ ถึงได้ดูน่ารัก? ทำไมเค้กจึงหวาน? แดน เดนเน็ตต์ (Dan Dennett) นักปรัชญา มีคำตอบที่เราไม่คาดคิดมาก่อนเมื่อเขามาเล่าให้เราฟังถึงเหตุถึงผลที่ผิดแปลกไปจากสัญชาตญาณของเราในเรื่องของความน่ารัก ความหวาน และความเซ็กซี่ (พร้อมกับทฤษฎีใหม่ของแมทธิว เฮอร์ลีย์ (Matthew Hurley) ที่ว่า ทำไมเรื่องตลกจึงตลกได้)
- Video Language:
- English
- Team:
- closed TED
- Project:
- TEDTalks
- Duration:
- 07:32