สำหรับเราทุกคนในห้องนี้
มาเริ่มจากการยอมรับว่าเราโชคดีกันเถอะค่ะ
เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลก
ที่แม่ของเราอยู่ หรือโลกที่ยายของเราอยู่
โลกที่ผู้หญิงมีทางเลือกในอาชีพการงานจำกัดมาก
และถ้าคุณอยู่ในห้องนี้ วันนี้
พวกเราส่วนใหญ่ก็เติบโตขึ้นมาในโลก
ที่เรามีสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน
ที่น่าแปลกใจคือ เรายังอยู่ในโลก
ที่ผู้หญิงบางคนไม่มีสิทธิเหล่านั้น
แต่ถ้าไม่นับเรื่องทั้งหมดนี้ เราก็มีปัญหาอยู่ดี
และมันก็เป็นปัญหาจริงๆ
ปัญหาก็คือ
ผู้หญิงไปไม่ถึง
จุดสูงสุดของอาชีพอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตามในโลก
สถิติบอกเราชัดเจนค่ะเรื่องนี้
ในบรรดาผู้นำประเทศ 190 ประเทศ
มีเพียง 9 คนที่เป็นผู้หญิง
ในบรรดาสมาชิกสภาทั้งหมดในโลก
เพียงร้อยละ 13 เป็นผู้หญิง
ในภาคธุรกิจ
ผู้หญิงในตำแหน่งสูงสุด
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือกรรมการบริษัท
อย่างมากก็มีแค่ร้อยละ 15, 16 เท่านั้น
ตัวเลขนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ปี 2002
และกำลังลดลงด้วยซ้ำ
แม้แต่ในภาคไม่แสวงกำไร
ซึ่งเป็นโลกที่บางครั้งเราคิดว่า
ผู้หญิงเป็นผู้นำมากกว่าผู้ชาย
ก็มีผู้นำที่เป็นผู้หญิงเพียงร้อยละ 20
นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง
นั่นคือ ผู้หญิงเผชิญกับทางเลือกที่ยากกว่าผู้ชาย
ระหว่างความสำเร็จในอาชีพการงาน กับการเติมเต็มชีวิตส่วนตัว
งานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ในสหรัฐอเมริกา
พบว่าในบรรดาผู้จัดการที่แต่งงานแล้ว
ผู้จัดการที่เป็นผู้ชายจำนวนสองในสามมีลูก
ผู้จัดการหญิงเพียงหนึ่งในสามมีลูก
เมื่อสองปีก่อน ฉันอยู่ที่นิวยอร์ก
กำลังนำเสนอดีลธุรกิจ
ฉันไปที่สำนักงานบริษัทร่วมลงทุนแห่งหนึ่งที่ดูโก้หรู
คุณคงนึกออกนะคะ
ฉันอยู่ในที่ประชุม -- มันเป็นประชุมยาวสามชั่วโมง
พอผ่านไปสองชั่วโมง ทุกคนก็ต้องไปเข้าห้องน้ำ
ทุกคนก็เลยลุกขึ้นยืน
ทีนี้นักการเงินในห้องที่ดำเนินการประชุม
เริ่มทำหน้าเจื่อนๆ
ฉันก็เลยตระหนักว่าเขาไม่รู้
ว่าห้องน้ำผู้หญิงในสำนักงานตัวเองอยู่ตรงไหน
ฉันก็เลยเริ่มมองหากล่องใหญ่ๆ ที่ใช้แพ็คของ
เพราะนึกว่าพวกเขาเพิ่งย้ายเข้าสำนักงานใหม่ แต่ไม่เห็นกล่องอะไร
ก็เลยถามว่า "พวกคุณเพิ่งย้ายมาที่นี่เหรอคะ?"
เขาตอบว่า "เปล่าครับ เราอยู่มาปีนึงแล้ว"
ฉันก็เลยบอกว่า "คุณกำลังจะบอกว่า
ฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว
ที่มานำเสนอดีลที่นี่ ตลอดปีที่ผ่านมา?"
เขามองหน้าฉันแล้วพูดว่า
"ใช่ครับ หรือบางทีคุณอาจเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ต้องไปเข้าห้องน้ำ"
(เสียงหัวเราะ)
ฉะนั้นคำถามคือ
เราจะแก้สถานการณ์นี้ได้อย่างไร?
เราจะเปลี่ยนสถิติผู้หญิงที่เป็นผู้นำได้อย่างไร?
ทำอะไรได้บ้างที่ต่างจากเดิม?
ฉันอยากจะเริ่มด้วยการบอกว่า
ฉันพูดเรื่องนี้ --
เรื่องการทำให้ผู้หญิงไม่ออกจากงาน --
เพราะฉันคิดว่ามันคือคำตอบจริงๆ
แรงงานทั้งระบบของเรา ส่วนที่มีรายได้สูง
ในบรรดาคนที่ไปถึงจุดสูงสุด --
ซีอีโอของบริษัทที่อยู่ในลิสต์ 500 ของฟอร์จูน
หรือเทียบเท่าในอุตสาหกรรมอื่น --
ฉันเชื่อมั่นว่า ปัญหาคือ
ผู้หญิงกำลังออกไปจากระบบ
หลายคนพูดเรื่องนี้บ่อยมาก
พวกเขาพูดเรื่องเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นและการมีโค้ช
และโครงการต่างๆ ที่บริษัทควรมีเพื่ออบรมผู้หญิง
วันนี้ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนั้นนะคะ
ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั้นจะสำคัญมาก
วันนี้ฉันอยากจะเน้นเรื่องที่เราทุกคนทำได้ในฐานะปัจเจก
อะไรคือสารที่เราต้องบอกตัวเราเอง?
อะไรคือสารที่เราต้องบอกผู้หญิงที่ทำงานกับเรา และทำงานให้เรา?
อะไรคือสารที่เราควรบอกลูกสาวของเรา?
ฉันอยากจะเกริ่นให้ชัดก่อนว่า
สุนทรพจน์ของฉันวันนี้ไม่ได้มาพร้อมกับคำตัดสินใดๆ
ฉันไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
ไม่มีแม้แต่กับตัวเอง
วันจันทร์ฉันเดินทางออกจากซานฟรานซิสโก เมืองที่ฉันอยู่
กำลังจะขึ้นเครื่องบินมาที่งานสัมมนานี้
ลูกสาววัย 3 ขวบของฉัน ตอนที่ฉันไปส่งเธอที่โรงเรียนเตรียมอนุบาล
โยเยเหมือนเด็กทั่วไป กอดขาฉันแน่น
ร้องไห้งอแง "แม่จ๋า อย่าไปขึ้นเครื่องบินนะ"
ดังนั้นนี่เป็นเรื่องยาก บางครั้งฉันก็รู้สึกผิดนะคะ
ฉันไม่รู้จักผู้หญิงคนไหนเลย
ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน หรือทำงาน
ที่ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเป็นบางครั้ง
ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้จะบอกว่า การทำงาน
คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับทุกคน
วันนี้ฉันแค่อยากจะบอกว่า สารหลักคืออะไร
ถ้าคุณอยากทำงานต่อไป
ฉันคิดว่ามีสามข้อ
ข้อหนึ่ง นั่งที่โต๊ะ
ข้อสอง ทำให้คู่สมรสของคุณเป็นคู่หูจริงๆ
และข้อสาม -- ดูนั่นสิคะ -- อย่าออกจนกว่าคุณจะออก
โอเค ข้อหนึ่ง การนั่งที่โต๊ะ
สองสัปดาห์ก่อนที่เฟซบุ๊ก
เราเป็นเจ้าภาพต้อนรับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงมากคนหนึ่ง
เขาเดินทางมาพบปะสนทนากับผู้บริหารระดับสูง
จากทั่วทั้งซิลิคอนวัลเลย์
ทุกคนนั่งอยู่รอบโต๊ะ
ทีนี้เจ้าหน้าที่รัฐคนนี้เดินทางมาพร้อมกับผู้หญิงสองคน
ซึ่งมีตำแหน่งค่อนข้างอาวุโสในฝ่ายของเขา
ฉันบอกพวกเธอว่า "นั่งที่โต๊ะเลยค่ะ เอาเลย นั่งที่โต๊ะ"
แต่พวกเธอเลือกนั่งริมผนังห้อง
ตอนที่ฉันอยู่ปีสี่ สมัยเรียนปริญญาตรี
ฉันลงวิชานึงชื่อ ประวัติศาสตร์ทางปัญญาของยุโรป
คุณคิดถึงเรื่องแบบนี้สมัยเรียนกันไหมคะ
ฉันอยากกลับไปเรียนวิชานั้นใหม่
ฉันเรียนพร้อมกับแคร์รี่ รูมเมทของฉัน
ซึ่งตอนนั้นเป็นนักเรียนที่เก่งวรรณกรรมและหัวไวมาก --
ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมแล้ว --
เรียนพร้อมกับน้องชายของฉัน --
ซึ่งก็เป็นคนฉลาด แต่เอกวิชาเตรียมแพทย์และเล่นโปโลน้ำไปด้วย
น้องฉันอยู่ปีสอง
พวกเราสามคนลงเรียนวิชานี้พร้อมกัน
แคร์รี่อ่านหนังสือทุกเล่ม
ในภาษากรีกและละตินดั้งเดิม --
ไปฟังเลกเชอร์ทุกคาบ --
ส่วนฉันอ่านหนังสือทั้งหมดในภาษาอังกฤษ
และไปฟังเลกเชอร์ส่วนใหญ่
น้องชายของฉันค่อนข้างยุ่ง
เลยอ่านหนังสือ 1 เล่ม จาก 12 เล่ม
ไปฟังเลกเชอร์ครั้งสองครั้ง
เดินดุ่มมาที่ห้องของเรา
สองวันก่อนสอบปลายภาค ให้เราติวให้
เราสามคนไปที่ห้องสอบพร้อมกัน นั่งลงสอบ
นั่งแช่อยู่ตรงนั้นเป็นเวลาสามชั่วโมง --
กับสมุดข้อสอบสีฟ้า -- ใช่ค่ะ ฉันอายุมากขนาดนั้น
พอจบแล้วเราก็เดินออกมา มองหน้ากันแล้วถามว่า "เป็นไงมั่ง?"
แคร์รี่ตอบว่า "โหย ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ดึงเอาประเด็นหลัก
ในวิภาษวิธีของเฮเกล"
ฉันตอบว่า "พระเจ้า ฉันเสียดายที่ไม่ได้เชื่อมโยง
ทฤษฎีกรรมสิทธิ์ของ จอห์น ล็อค เข้ากับนักปรัชญารุ่นหลัง"
เสร็จแล้วน้องชายฉันก็บอกว่า
"ฉันได้คะแนนดีที่สุดในห้องเลย"
"เธอเนี่ยนะ ได้คะแนนดีที่สุดในห้อง?
เธอไม่รู้อะไรเลย"
ปัญหาของเรื่องเหล่านี้คือ
มันบอกเราแบบเดียวกับที่สถิติบอก
นั่นคือ ผู้หญิงมักจะประเมินความสามารถของตัวเองต่ำเกินไป
ถ้าคุณทดสอบผู้ชายและผู้หญิง
และถามพวกเขาโดยใช้เกณฑ์ที่เป็นภววิสัยล้วนๆ อย่างเช่นเกรดเฉลี่ย
ผู้ชายจะตอบสูงเกินจริงไปเล็กน้อย
ผู้หญิงจะตอบต่ำเกินจริงไปเล็กน้อย
ผู้หญิงไม่เจรจาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเวลาทำงาน
งานวิจัยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ศึกษาคนที่ไปทำงานหลังจบปริญญาตรี
พบว่าเด็กผู้ชายร้อยละ 57 --
เรียกว่าผู้ใหญ่ได้แล้วมั๊ง --
ต่อรองเงินเดือนแรกเข้าของพวกเขา
ขณะที่มีผู้หญิงเพียงร้อยละ 7 ที่ต่อรอง
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ
ผู้ชายบอกว่าความสำเร็จของพวกเขามาจากตัวเอง
แต่ผู้หญิงบอกว่ามันมาจากปัจจัยภายนอก
ถ้าคุณถามผู้ชายว่าทำไมพวกเขาถึงทำงานได้ดี
คำตอบคือ "ก็เพราะผมเจ๋งน่ะสิ
เรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เห็นจะต้องถาม"
ถ้าคุณถามผู้หญิงว่าทำไมพวกเธอถึงทำงานได้ดี
พวกเธอจะตอบว่า เพราะมีคนอื่นช่วย
โชคดี หรือเพราะเธอทำงานหนักมาก
ประเด็นนี้สำคัญยังไง?
โห มันสำคัญมากเลยค่ะ
เพราะไม่มีใครหรอกที่ไต่เต้าจนมีห้องทำงานส่วนตัว
ด้วยการนั่งติดผนัง ไม่ได้นั่งที่โต๊ะประชุม
และไม่มีใครหรอกที่จะได้เลื่อนขั้น
ถ้าเขาไม่คิดว่าเขาคู่ควรกับความสำเร็จ
หรือกระทั่งไม่เข้าใจความสำเร็จของตัวเอง
ฉันหวังว่าคำตอบจะง่าย
ฉันหวังว่าฉันจะเดินไปบอกหญิงสาวทุกคนที่ฉันทำงานด้วยกัน
ผู้หญิงแสนวิเศษเหล่านั้น
ว่า "จงเชื่อมั่นในตัวเองและต่อรองเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง
เป็นเจ้าของความสำเร็จของตัวเธอเอง"
ฉันหวังว่าฉันจะบอกลูกสาวอย่างนี้ได้
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นเลย
เพราะสิ่งที่ข้อมูลแสดงให้เห็นเหนือสิ่งอื่นใด
คือ ความสำเร็จและการได้รับความชื่นชอบ
มีความสัมพันธ์เชิงบวกสำหรับผู้ชาย
และความสัมพันธ์เชิงลบสำหรับผู้หญิง
พวกคุณทุกคนกำลังพยักหน้า
เพราะเราทุกคนรู้ว่านี่คือเรื่องจริง
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่แสดงเรื่องนี้ได้ดีมาก
เป็นงานวิจัยที่มีชื่อเสียงของคณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด
ศึกษาชีวิตของผู้หญิงคือ ไฮดี โรยเซน
เธอทำงานเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ของบริษัท
ในซิลิคอนวัลเลย์
เธอใช้เครือข่ายคนรู้จักที่มี
ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นนักลงทุนร่วมลงทุนที่ประสบความสำเร็จมาก
ในปี 2002 เมื่อไม่นานนี้เอง
อาจารย์คนหนึ่งที่ตอนนั้นอยู่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
เอาเรื่องของ ไฮดี โรยเซน มาทำเป็นกรณีศึกษา
เขาให้นักศึกษาอ่านสองเวอร์ชันของกรณีศึกษา
ให้นักศึกษาสองกลุ่ม
เขาเปลี่ยนแค่คำคำเดียว
เปลี่ยนจาก ไฮดี เป็น ฮาวเวิร์ด
แต่คำคำเดียวนี้แหละที่ทำให้ปฏิกิริยาแตกต่างมาก
เขาสำรวจความเห็นของนักศึกษา
และข่าวดีก็คือนักศึกษาทั้งชายและหญิง
คิดว่าไฮดีกับฮาวเวิร์ดมีความสามารถเท่ากัน
ซึ่งก็เป็นเรื่องดี
ข่าวร้ายคือทุกคนชอบฮาวเวิร์ด
เขาเป็นคนที่เจ๋งมาก คุณอยากไปทำงานให้เขา
อยากไปตกปลากับเขา
แต่ไฮดีล่ะ? นักศึกษาไม่แน่ใจ
เธอดูเห็นแก่ตัว ค่อนข้างจะเล่นการเมือง
คุณไม่แน่ใจว่าจะอยากทำงานให้เธอหรือเปล่า
นี่คือปมที่ซับซ้อน
เราจะต้องบอกลูกสาวของเราและเพื่อนร่วมงานของเรา
เราต้องบอกตัวเองให้เชื่อว่า เรามีความสามารถ
ที่จะเอื้อมถึงการเลื่อนขั้น
ที่จะนั่งที่โต๊ะ
และเราต้องทำสิ่งเหล่านี้ในโลก
ที่ผู้หญิงมีสิ่งที่ต้องเสียสละสำหรับสิ่งเหล่านั้น
ถึงแม้ว่าน้องชายหรือพี่ชายของเธอไม่มีอะไรต้องเสียสละ
ประเด็นที่เศร้าที่สุดของเรื่องทั้งหมดนี้คือ ยากมากที่เราจะจำได้
ฉันอยากจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ฉันรู้สึกอับอายมาก
แต่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
ฉันกล่าวสุนทรพจน์ที่เฟซบุ๊กเมื่อไม่นานมานี้
ต่อหน้าพนักงานประมาณหนึ่งร้อยคน
สองชั่วโมงถัดมา มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำงานให้เฟซบุ๊ก
มานั่งรอหน้าโต๊ะตัวเล็กๆ ของฉัน
เธออยากคุยกับฉัน
ฉันบอกว่า โอเค เธอก็เลยนั่งลง เราคุยกัน
เธอบอกว่า "วันนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง
ได้เรียนรู้ว่าฉันต้องยกมือค้างไว้"
ฉันตอบว่า "แปลว่าอะไรเหรอคะ?"
เธอบอกว่า "คือ คุณกำลังกล่าวสุนทรพจน์
แล้วคุณบอกว่า คุณจะรับคำถามอีกสองข้อจากผู้ฟัง
ฉันยกมือขึ้นพร้อมกับคนอีกเยอะเลย แล้วคุณก็ตอบคำถามอีกสองข้อ
แล้วฉันก็ลดมือลง สังเกตว่าผู้หญิงทั้งหมดลดมือลง
เสร็จแล้วคุณก็ตอบคำถามต่อ
จากผู้ชายเท่านั้น"
และฉันก็คิดในใจว่า
โอ้โห ถ้าฉันทำอย่างนั้น -- แน่นอนว่าฉันแคร์กับเรื่องนี้
ตอนกล่าวสุนทรพจน์ --
ฉันไม่ได้สังเกตเห็นเลย
ว่าผู้ชายกำลังยกมืออยู่
หรือผู้หญิงกำลังยกมืออยู่
เราเก่งแค่ไหนกัน
ในฐานะผู้จัดการของบริษัทและองค์กร
ในการมองเห็นว่าผู้ชายกำลังเอื้อมมือไขว่คว้าหาโอกาส
มากกว่าผู้หญิง?
เราจะต้องทำให้ผู้หญิงมานั่งที่โต๊ะ
(เสียงปรบมือ)
สารข้อสองคือ
ทำให้คู่สมรสของคุณเป็นคู่หูจริงๆ
ฉันเชื่อมั่นว่าเรามีความก้าวหน้าในชีวิตการทำงานของเรา
มากกว่าชีวิตครอบครัว
ข้อมูลแสดงเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งกับผู้ชายคนหนึ่งต่างทำงานเต็มเวลา
และมีลูก
ผู้หญิงจะทำงานบ้านมากกว่าผู้ชายสองเท่า
และจะดูแลลูกมากกว่าผู้ชาย
กว่าสามเท่า
ดังนั้น เธอจึงทำงานสามงาน หรือสองงาน
ขณะที่เขาทำงานงานเดียว
ใครที่คุณคิดว่าจะเลิกทำงาน เวลาที่ใครสักคนต้องอยู่บ้านมากขึ้น
สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ซับซ้อนมากๆ
และฉันก็ไม่มีเวลาอธิบาย
แต่ฉันไม่คิดว่า การดูฟุตบอลวันอาทิตย์
กับความเกียจคร้านทั่วไปคือสาเหตุ
ฉันคิดว่าสาเหตุซับซ้อนกว่านั้น
ฉันคิดว่า สังคมของเรา
กดดันให้เด็กผู้ชายประสบความสำเร็จ
มากกว่ากดดันเด็กผู้หญิง
ฉันรู้จักผู้ชายที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก
ทำงานที่บ้านเพื่อสนับสนุนภรรยาที่มีอาชีพการงาน
ยากสำหรับพวกเขา
เวลาที่ฉันไปร้านขายของสำหรับแม่และเด็ก
และมีพ่ออยู่ตรงนั้น
ฉันสังเกตว่าแม่คนอื่นๆ
ไม่เล่นกับเขา
และนั่นคือปัญหา
เพราะเราต้องทำให้มันเป็นงานสำคัญ --
เพราะการทำงานที่บ้านนั้น เป็นงานที่ยากที่สุดในโลก
สำหรับคนทั้งสองเพศ
ถ้าเราจะทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน และให้ผู้หญิงทำงานต่อไปได้
(เสียงปรบมือ)
งานวิจัยพบว่า ครอบครัวที่สองคนมีรายได้พอๆ กัน
และมีความรับผิดชอบเท่าๆ กัน
มีอัตราการหย่าร้างต่ำกว่าปกติสองเท่า
และถ้านั่นยังไม่ใช่แรงจูงใจที่ดีพอสำหรับทุกคนนะคะ
ก็มีอีกข้อหนึ่ง --
อืม ฉันจะพูดเรื่องนี้บนเวทีนี้ยังไงดี --
คู่สมรสจะเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดแบบในคัมภีร์ไบเบิลด้วย
(เสียงโห่ร้อง)
สารข้อสามคือ
อย่าออกจนกว่าคุณจะออก
ฉันคิดว่ามีตลกร้ายที่ลึกซึ้งมากๆ
เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งที่ผู้หญิงตัดสินใจทำ --
และฉันก็เห็นบ่อยมาก --
เวลาที่ตั้งเป้าหมายว่าจะทำงานเต็มเวลาต่อไป
กลับกลายเป็นสิ่งที่นำไปสู่การออกจากงานในที่สุด
สิ่งที่เกิดขึ้นคืออย่างนี้ค่ะ
พวกเราทุกคนล้วนยุ่ง ผู้หญิงก็ยุ่ง
เธอเริ่มคิดว่าจะมีลูก
และนับตั้งแต่จุดที่เธอเริ่มคิดว่าอยากมีลูก
เธอก็จะเริ่มคิดถึงการเผื่อพื้นที่ให้ลูก
"ฉันจะยัดเรื่องนี้เข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ได้ยังไงกัน"
และนับตั้งแต่จุดนั้นจริงๆ
เธอก็จะไม่ยกมือขึ้นอีกแล้ว
ไม่มองหาการเลื่อนขั้น ไม่รับโครงการใหม่ๆ
เธอจะไม่พูดว่า "ฉันอยากทำเรื่องนี้"
เธอเริ่มผ่อนฝีเท้า
ปัญหาก็คือว่า --
สมมติว่าเธอเกิดท้องวันนั้นเลย --
ตั้งท้องเก้าเดือน ลาคลอดอีกสามเดือน
อีกหกเดือนเพื่อหาเวลาหายใจ --
หมุนเวลาไปอีกสองปี
สิ่งที่ฉันสังเกตว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
คือ ผู้หญิงเริ่มคิดเรื่องนี้เร็วเกินควรมาก --
เวลาที่พวกเธอหมั้น หรือแต่งงาน
เวลาเริ่มคิดถึงเรื่องมีลูก ซึ่งอาจกินเวลานานมาก
ผู้หญิงคนหนึ่งมาปรึกษาฉันเรื่องนี้
ฉันจ้องมองเธอ -- ดูอายุยังน้อย
ฉันบอกว่า "คุณกับสามีของคุณกำลังคิดว่าจะมีลูกเหรอคะ?"
เธอตอบว่า "โอ้ ฉันยังไม่ได้แต่งงานค่ะ"
เธอยังไม่มีแฟนเลยด้วยซ้ำ
ฉันบอกว่า "คุณกำลังคิดเรื่องนี้
เร็วเกินไปมากๆ เลย"
แต่ประเด็นก็คือ เกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณเริ่มผ่อนฝีเท้าตัวเองอย่างเงียบๆ?
ทุกคนที่เคยเจอเรื่องนี้ --
และฉันก็อยากบอกว่า เมื่อไรที่คุณมีเด็กอยู่ที่บ้าน
งานของคุณก็ควรต้องดีมากจริงๆ ให้คุณไปทำ
เพราะมันยากมากที่จะทิ้งเด็กคนนั้นไว้ที่บ้าน --
งานของคุณจะต้องท้าทาย
และจะต้องคุ้มค่า
คุณต้องรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นั้นมีความหมาย
ถ้าสองปีก่อนหน้านี้คุณปฏิเสธการเลื่อนขั้น
และมีผู้ชายที่นั่งติดกันได้เลื่อนขั้น
ถ้าสามปีก่อนหน้านี้
คุณหยุดมองหาโอกาสใหม่ๆ
คุณก็จะเบื่อแน่นอน
เพราะตอนโน้นคุณควรจะเหยียบคันเร่ง
อย่าออกก่อนที่คุณจะออกค่ะ
อยู่กับงาน
เหยียบคันเร่งไว้
จนถึงวันที่คุณต้องออกจากงานจริงๆ
เพื่อไปมีเวลาอยู่กับลูก --
ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจ
อย่าตัดสินใจล่วงหน้ามากไป
โดยเฉพาะการตัดสินใจที่คุณไม่รู้ตัวว่ากำลังทำ
เรื่องที่น่าเศร้าคือ คนรุ่นฉัน
ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสถิติของผู้หญิงที่เป็นผู้นำ
เพราะมันไม่ขยับเลย
เราไม่มีวันไปถึงจุดที่ประชากรร้อยละ 50
คนรุ่นฉันจะไม่มีวันมีคนร้อยละ 50
ไปถึงจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมไหนเลย
แต่ฉันหวังว่าคนรุ่นต่อๆ ไปจะทำได้
ฉันคิดว่าโลกที่
ประเทศครึ่งหนึ่ง และบริษัทครึ่งหนึ่ง
มีผู้หญิงเป็นผู้นำ จะเป็นโลกที่ดีกว่าเดิม
ไม่ใช่แค่เพราะคนจะรู้ว่าห้องน้ำผู้หญิงอยู่ตรงไหน
ถึงแม้ว่านั่นเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก
ฉันคิดว่าจะเป็นโลกที่ดีกว่าเดิม
ฉันมีลูกสองคน
ลูกชายอายุห้าขวบ และลูกสาวอายุสองขวบ
ฉันอยากให้ลูกชายมีทางเลือก
ที่จะมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในที่ทำงาน และที่บ้าน
และฉันอยากให้ลูกสาวมีทางเลือก
ที่จะไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จ
แต่ให้คนชื่นชอบเธอที่ประสบความสำเร็จด้วย
ขอบคุณค่ะ
(เสียงปรบมือ)