WEBVTT 00:00:00.273 --> 00:00:04.679 ผมอยากให้ทุกคนลองหลับตา NOTE Paragraph 00:00:04.679 --> 00:00:07.996 นึกภาพว่าคุณกำลังยืน 00:00:07.996 --> 00:00:11.123 อยู่หน้าประตูบ้านของคุณเอง 00:00:11.123 --> 00:00:14.792 ขอให้คุณสังเกตสีของประตู 00:00:14.792 --> 00:00:18.788 สังเกตว่าประตูทำจากวัสดุอะไร 00:00:18.788 --> 00:00:25.508 ทีนี้ลองนึกภาพคนอ้วนเปลือยกลุ่มหนึ่งกำลังขี่จักรยานอยู่ 00:00:25.508 --> 00:00:28.708 พวกเขากำลังแข่งขันปั่นจักรยานเปลือย 00:00:28.708 --> 00:00:32.458 และกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูบ้านของคุณ 00:00:32.458 --> 00:00:34.408 ผมอยากให้คุณจินตนาการจนเห็นภาพนี้จริงๆ 00:00:34.408 --> 00:00:37.500 พวกเขาปั่นด้วยความเร็วสูง เหงื่อโทรมกาย 00:00:37.500 --> 00:00:40.404 กระเด้งกระดอนใหญ่เลย 00:00:40.404 --> 00:00:44.208 แล้วในที่สุดก็ชนโครมเข้าที่ประตูบ้านคุณ 00:00:44.208 --> 00:00:48.127 จักรยานกระเด็นเกลื่อนกลาด ล้อหลุดกลิ้งผ่านคุณไป 00:00:48.127 --> 00:00:51.958 ซี่ล้อกระจายไปทั่ว 00:00:51.958 --> 00:00:55.183 ทีนี้ลองก้าวข้ามธรณีประตูของคุณ 00:00:55.183 --> 00:00:58.023 เข้าไปสู่ห้องโถง ทางเดิน หรืออะไรก็ตามที่อยู่อีกฟาก 00:00:58.023 --> 00:01:01.929 ลองพิจารณาลำแสง 00:01:01.929 --> 00:01:07.606 ที่สาดส่องมายังเจ้าตัวคุกกี้ มอนสเตอร์ 00:01:07.606 --> 00:01:10.792 คุกกี้ มอนสเตอร์โบกมือให้คุณ 00:01:13.496 --> 00:01:15.304 จากบนหลังม้าสีแทนที่เขานั่งอยู่ 00:01:13.496 --> 00:01:15.304 มันเป็นม้าพูดได้ 00:01:15.304 --> 00:01:19.837 ขนสีฟ้าของเขาปลิวมาโดนจมูกของคุณจนรู้สึกจั๊กจี้ 00:01:19.837 --> 00:01:24.114 คุณได้กลิ่นคุกกี้ข้าวโอ๊ตกับลูกเกด ที่เขากำลังจะเขมือบเข้าปาก 00:01:24.114 --> 00:01:27.921 เดินผ่านเขาไปทางห้องนั่งเล่นของคุณ 00:01:27.921 --> 00:01:30.958 ในห้องนั่งเล่น ใช้จินตนาการให้เต็มที่ 00:01:30.958 --> 00:01:33.770 จนคุณเห็นบริตนี่ย์ สเปียส์ 00:01:33.770 --> 00:01:39.265 เธอนุ่งน้อยห่มน้อย กำลังเต้นอยู่บนโต๊ะกาแฟของคุณ 00:01:39.265 --> 00:01:41.809 และร้องเพลง "Hit Me Baby One More Time" 00:01:41.809 --> 00:01:44.731 ทีนี้ตามผมมาในครัวของคุณ 00:01:44.731 --> 00:01:49.031 ในครัวของคุณ ตอนนี้มีถนนปูอิฐสีเหลืองพาดผ่าน 00:01:49.031 --> 00:01:52.725 อะไรบางอย่างกำลังเดินออกจากเตาอบมาหาคุณ 00:01:52.725 --> 00:01:54.792 โดโรธี มนุษย์สังกะสี 00:01:54.792 --> 00:01:57.173 หุ่นไล่กา และสิงโตจากเรื่องพ่อมดออสซ์ 00:01:57.173 --> 00:02:00.000 กำลังจับมือกันกึ่งเดินกึ่งกระโดดตรงมาหาคุณ 00:02:00.000 --> 00:02:04.333 โอเคครับ ลืมตาได้ 00:02:04.333 --> 00:02:07.792 ผมอยากเล่าให้คุณฟัง เรื่องการแข่งขันประหลาดๆ 00:02:07.792 --> 00:02:10.875 ที่จัดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิในเมืองนิวยอร์ก 00:02:10.875 --> 00:02:14.362 งานนี้เรียกว่า การชิงแชมป์นักจำแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Memory Championship) 00:02:14.362 --> 00:02:17.260 ผมไปทำข่าวการแข่งขันนี้เมื่อสองสามปีก่อน 00:02:17.260 --> 00:02:19.457 ในฐานะผู้สื่อข่าวสายวิทยาศาสตร์ 00:02:19.457 --> 00:02:21.792 โดยคาดหวังว่า งานนี้คงน่าตื่นเต้น 00:02:21.792 --> 00:02:24.621 เหมือนการแข่งซุเปอร์โบวล์ของนักปราชญ์ขั้นเทพ 00:02:24.621 --> 00:02:28.130 ปรากฏว่า คนเหล่านี้ คือผู้ชายกลุ่มใหญ่ กับผู้หญิงไม่กี่คน 00:02:28.130 --> 00:02:32.869 ที่มีความหลากหลายสูงมาก ทั้งเรื่องอายุ และระดับการรักษาสุขอนามัย 00:02:32.869 --> 00:02:35.150 (เสียงหัวเราะ) 00:02:35.150 --> 00:02:39.359 พวกเขาจำตัวเลขสุ่มนับร้อยๆ ตัว 00:02:39.359 --> 00:02:40.771 หลังจากมองดูแค่ครั้งเดียว 00:02:40.771 --> 00:02:45.133 พวกเขาจำชื่อคนแปลกหน้าจำนวนไม่รู้กี่โหลต่อกี่โหล 00:02:45.133 --> 00:02:48.571 จำบทกวีทั้งบทภายในสองสามนาที 00:02:48.571 --> 00:02:50.750 พวกเขาแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะสามารถ 00:02:50.750 --> 00:02:54.750 จำลำดับของไพ่ในกองที่สับแล้วได้เร็วที่สุด 00:02:54.750 --> 00:02:56.594 ผมแบบ... โอ้ นี่มันเหลือเชื่อ 00:02:56.594 --> 00:02:59.750 คนพวกนี้ต้องเป็นมนุษย์ประหลาดแน่ๆ 00:02:59.750 --> 00:03:03.375 แล้วผมก็เริ่มคุยกับผู้เข้าแข่งขันสองสามคน 00:03:03.375 --> 00:03:04.750 ชายคนนี้ชื่อเอ็ด คุก 00:03:04.750 --> 00:03:06.317 มาจากอังกฤษ 00:03:06.317 --> 00:03:08.283 เขาเป็นหนึ่งในคนที่ฝึกฝนความจำมาดีที่สุด 00:03:08.283 --> 00:03:12.048 ผมถามเขาว่า "เอ็ด คุณรู้ตัวเมื่อไหร่ 00:03:12.048 --> 00:03:14.556 ว่าคุณเป็นนักปราชญ์ขั้นเทพ?" 00:03:14.556 --> 00:03:17.320 เอ็ดตอบมาว่า "ผมไม่ใช่นักปราชญ์ขั้นเทพ 00:03:17.320 --> 00:03:19.896 ที่จริงผมมีความจำดีปานกลางเท่านั้นแหละ 00:03:19.896 --> 00:03:21.568 ทุกคนที่มาแข่งในงานนี้ 00:03:21.568 --> 00:03:24.829 จะพูดเหมือนกันหมด ว่าเขาความจำดีปานกลาง 00:03:24.829 --> 00:03:26.708 แต่เราทุกคนล้วนฝึกฝนตัวเอง 00:03:26.708 --> 00:03:30.929 ให้สามารถจำได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ 00:03:30.929 --> 00:03:32.987 โดยใช้เทคนิคโบราณ 00:03:32.987 --> 00:03:36.535 ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาในประเทศกรีซเมื่อ 2,500 ปีก่อน 00:03:36.535 --> 00:03:39.667 เทคนิคเดียวกับที่ซิเซโรใช้ 00:03:39.667 --> 00:03:41.527 ในการจดจำปาฐกถาที่เขาจะพูด 00:03:41.527 --> 00:03:45.721 และที่นักวิชาการในยุคกลาง ใช้เพื่อช่วยจำหนังสือทั้งเล่ม 00:03:45.721 --> 00:03:49.437 ผมได้ฟังก็แบบ "โว้ว ทำไมผมไม่เคยได้ยิน เรื่องนี้มาก่อนเลยเนี่ย?" 00:03:49.437 --> 00:03:52.156 แล้วเราก็ออกมายืนกันหน้าหอประชุมที่ใช้จัดการแข่งขัน 00:03:52.156 --> 00:03:55.833 แล้วเอ็ด ชายนิสัยดี ฉลาดหลักแหลม 00:03:55.833 --> 00:03:58.898 แต่ท่าทางประหลาด จากประเทศอังกฤษ 00:03:58.898 --> 00:04:03.333 พูดกับผมว่า "โจช คุณเป็นนักข่าวอเมริกัน 00:04:03.333 --> 00:04:05.439 คุณสนิทกับบริตนีย์ สเปียส์ไหม?" 00:04:05.439 --> 00:04:10.252 ผมแบบ "อะไรนะ? ไม่อ่ะ ทำไมเหรอ?" 00:04:10.252 --> 00:04:13.333 "เพราะผมอยากจะสอนบริตนีย์ สเปียส์ 00:04:13.333 --> 00:04:15.962 ให้จำลำดับของไพ่ในกองที่สับแล้ว 00:04:15.962 --> 00:04:18.208 ออกโทรทัศน์ในอเมริกา 00:04:18.208 --> 00:04:21.479 เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าใครๆ ก็ทำอย่างนี้ได้" 00:04:21.479 --> 00:04:25.893 (เสียงหัวเราะ) 00:04:25.893 --> 00:04:29.383 ผมเลยบอกว่า "เอ่อ ผมไม่ใช่บริตนีย์ สเปียส์ 00:04:29.383 --> 00:04:32.148 แต่คุณจะลองสอนผมดูก็ได้นะ 00:04:32.148 --> 00:04:34.583 คือ คุณต้องลองกับใครสักคนก่อน ใช่ไหมล่ะ?" 00:04:34.583 --> 00:04:38.375 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ที่แสนประหลาดของผม 00:04:38.375 --> 00:04:41.279 กลายเป็นว่า ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีถัดมา 00:04:41.279 --> 00:04:43.375 ไม่เพียงแต่ฝึกฝนความจำของผม 00:04:43.375 --> 00:04:45.125 แต่ยังศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับความจำ 00:04:45.125 --> 00:04:47.231 เพื่อพยายามเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร 00:04:47.231 --> 00:04:49.502 ทำไมบางครั้งมันจึงทำงานได้ไม่ดี 00:04:49.502 --> 00:04:51.987 และมันมีศักยภาพแค่ไหน 00:04:51.987 --> 00:04:54.293 ผมพบคนที่น่าสนใจสุดๆ มากมาย 00:04:54.293 --> 00:04:56.075 ผู้ชายคนนี้ชื่อว่า อี.พี. 00:04:56.075 --> 00:04:58.583 เขาเป็นโรคความจำเสื่อม 00:04:58.583 --> 00:05:01.292 และน่าจะเป็นคนที่ความแย่ที่สุดในโลก 00:05:01.292 --> 00:05:02.952 ความจำของเขาแย่มาก 00:05:02.952 --> 00:05:05.702 ถึงขั้นที่เขาจำไม่ได้ว่าเขามีปัญหาเรื่องความจำ 00:05:05.702 --> 00:05:07.589 ซึ่งน่าทึ่งมาก 00:05:07.589 --> 00:05:09.304 ชีวิตของเขาน่าเศร้าอย่างเหลือเชื่อ 00:05:09.304 --> 00:05:11.292 แต่เขาก็เป็นหน้าต่างที่ทำให้เราเห็น 00:05:11.292 --> 00:05:15.102 ว่าความทรงจำสำคัญกับความเป็นตัวตนของเราแค่ไหน 00:05:15.102 --> 00:05:18.140 ในขั้วตรงกันข้าม ผมพบผู้ชายคนนี้ 00:05:18.140 --> 00:05:19.877 นี่คือคิม พีค (Kim Peek) 00:05:19.877 --> 00:05:23.364 เขาคือที่มาของตัวละครที่รับบท โดยดัสติน ฮอฟแมนในเรื่อง Rain Man 00:05:23.364 --> 00:05:26.046 บ่ายวันหนึ่ง เรานั่งจำชื่อในสมุดโทรศัพท์อยู่ด้วยกัน 00:05:26.046 --> 00:05:29.683 ที่ห้องสมุดสาธารณะ เมืองซอลท์ เลค ซิตี้ 00:05:29.683 --> 00:05:32.770 สนุกมากเลยนะ 00:05:32.770 --> 00:05:35.727 (เสียงหัวเราะ) 00:05:35.727 --> 00:05:39.157 แล้วผมก็ย้อนไปอ่านหนังสือโบราณต่างๆ เกี่ยวกับความทรงจำ 00:05:39.157 --> 00:05:42.990 หนังสือพวกนี้เขียนขึ้นมานานกว่า 2,000 ปีที่แล้ว 00:05:42.990 --> 00:05:44.896 ในภาษาละติน ตั้งแต่ยุคโบราณ 00:05:44.896 --> 00:05:47.233 และต่อมาในยุคกลาง 00:05:47.233 --> 00:05:49.796 ผมได้เรียนรู้อะไรๆ ที่น่าสนใจมากมาย 00:05:49.796 --> 00:05:53.038 เรื่องน่าสนใจเรื่องหนึ่งที่ผมได้รู้คือ 00:05:53.038 --> 00:05:55.514 สมัยก่อนนี้ 00:05:55.514 --> 00:06:01.286 การมีความจำที่ได้รับการฝึกฝน ขัดเกลา และปลูกฝังอย่างดี 00:06:01.286 --> 00:06:06.314 ไม่ใช่เรื่องแปลกอย่างที่ทุกวันนี้เรารู้สึกกัน 00:06:06.314 --> 00:06:11.071 สมัยก่อน คนเราทุ่มเทฝึกฝนความจำ 00:06:11.071 --> 00:06:16.096 เพียรพยายามพัฒนาจิตของตน 00:06:16.096 --> 00:06:18.219 ไม่กี่พันปีมานี้เอง 00:06:18.219 --> 00:06:20.965 ที่เราเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีหลากหลาย 00:06:20.965 --> 00:06:23.375 ตั้งแต่ตัวอักษรไปถึงม้วนกระดาษ 00:06:23.375 --> 00:06:25.694 หนังสือที่เขียนด้วยลายมือ แท่นพิมพ์ ภาพถ่าย 00:06:25.694 --> 00:06:27.608 คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน 00:06:27.608 --> 00:06:30.540 ซึ่งทำให้มันง่ายขึ้นเรื่อยๆ 00:06:30.540 --> 00:06:33.125 ที่จะเก็บความจำไว้นอกสมอง 00:06:33.125 --> 00:06:35.367 และยกสิ่งที่เป็นความสามารถ 00:06:35.367 --> 00:06:39.080 ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ข้อนี้ ให้เทคโนโลยีทำแทน 00:06:39.080 --> 00:06:42.679 เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้โลกสมัยใหม่เกิดขึ้นได้ 00:06:42.679 --> 00:06:44.477 แต่มันก็เปลี่ยนแปลงเราไปด้วย 00:06:44.477 --> 00:06:46.227 มันเปลี่ยนเราในแง่วัฒนธรรม 00:06:46.227 --> 00:06:49.761 และผมว่า มันเปลี่ยนกระบวนการคิดเราด้วย 00:06:49.761 --> 00:06:52.327 เมื่อเราไม่จำเป็นต้องจำอะไรมากมายนัก 00:06:52.327 --> 00:06:55.444 บางทีก็ดูเหมือนเราลืมวิธีจำไป 00:06:55.444 --> 00:06:57.183 ที่สุดท้ายบนโลกนี้ 00:06:57.183 --> 00:07:00.287 ที่คุณจะยังได้เห็นคนที่หลงใหล 00:07:00.287 --> 00:07:03.529 เรื่องการฝึกฝน ขัดเกลา และปลูกฝังความจำ 00:07:03.529 --> 00:07:06.288 ก็คือที่การแข่งขันความจำนี่แหละ 00:07:06.288 --> 00:07:07.604 ที่จริงงานนี้ไม่ใช่งานเดียว 00:07:07.604 --> 00:07:09.929 มีการแข่งขันแบบนี้อยู่ทั่วโลก 00:07:09.929 --> 00:07:14.087 ผมทึ่งกับคนพวกนี้ และอยากรู้ว่าเขาทำได้อย่างไร 00:07:14.087 --> 00:07:18.806 สองสามปีที่แล้ว นักวิจัยกลุ่มหนึ่งที่ University College กรุงลอนดอน 00:07:18.806 --> 00:07:21.583 พาแชมป์ความจำหลายคนมาที่แล็บ 00:07:21.583 --> 00:07:23.089 พวกเราอยากรู้ว่า 00:07:23.089 --> 00:07:24.456 สมองของคนพวกนี้แตกต่าง 00:07:24.456 --> 00:07:28.898 จากคนทั่วไปอย่างเราๆ ในแง่โครงสร้างหรือกายวิภาคหรือเปล่า? 00:07:28.898 --> 00:07:31.902 คำตอบคือ ไม่ 00:07:31.902 --> 00:07:35.006 คนพวกนี้ฉลาดกว่าพวกเราหรือเปล่า? 00:07:35.006 --> 00:07:36.717 นักวิจัยให้พวกเขาทำแบบทดสอบทางปัญญามากมาย 00:07:36.717 --> 00:07:38.987 คำตอบคือ ก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่ากันเท่าไหร่ 00:07:38.987 --> 00:07:42.315 แต่มีความแตกต่างอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ และบอกอะไรเราได้เยอะมาก 00:07:42.315 --> 00:07:44.423 นั่นคือ ความแตกต่างในสมองของแชมป์นักจำ 00:07:44.423 --> 00:07:46.990 กับกลุ่มควบคุมที่นำมาเปรียบเทียบ 00:07:46.990 --> 00:07:49.667 เมื่อนำคนสองกลุ่มนี้ไปเข้าเครื่อง fMRI 00:07:49.667 --> 00:07:51.711 สแกนสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก 00:07:51.711 --> 00:07:56.717 ขณะที่พวกเขาจดจำตัวเลข ใบหน้าคน และรูปผลึกหิมะ 00:07:56.717 --> 00:07:59.033 นักวิจัยพบว่า สมองของแชมป์นักจำ 00:07:59.033 --> 00:08:01.277 มีการทำงานในจุดที่แตกต่าง 00:08:01.277 --> 00:08:03.288 จากคนทั่วไป 00:08:03.288 --> 00:08:06.573 ดูเหมือนว่าแชมป์นักจำจะใช้สมอง 00:08:06.573 --> 00:08:10.790 ส่วนที่ใช้ในการจำภาพพื้นที่และการนำทาง 00:08:10.790 --> 00:08:17.033 ทำไมล่ะ? แล้วเราจะเรียนรู้อะไรจากข้อค้นพบนี้ได้ไหม? 00:08:17.033 --> 00:08:21.233 การแข่งขันชิงแชมป์ความจำนั้น 00:08:21.233 --> 00:08:24.081 ก็เหมือนการแข่งขันสร้างและสะสมอาวุธ 00:08:24.081 --> 00:08:27.125 ทุกๆ ปี ใครคนหนึ่งจะคิดค้นวิธีใหม่ 00:08:27.125 --> 00:08:29.813 เพื่อให้จำได้มากขึ้นและเร็วขึ้น 00:08:29.813 --> 00:08:31.652 แล้วคนอื่นที่เหลือก็ต้องพยายามตีตื้น 00:08:31.652 --> 00:08:33.500 นี่คือเพื่อนของผม ชื่อ เบน พริดมอร์ 00:08:33.500 --> 00:08:35.250 นักจำแชมป์โลกสามสมัย 00:08:35.250 --> 00:08:37.083 บนโต๊ะตรงหน้าเขา 00:08:37.083 --> 00:08:40.777 มีไพ่ที่สับแล้ว 36 สำรับ 00:08:40.777 --> 00:08:43.525 ที่เขาต้องพยายามจำให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง 00:08:43.525 --> 00:08:47.881 โดยใช้เทคนิคที่เขาคิดค้นขึ้นและฝึกฝนจนชำนาญ 00:08:47.881 --> 00:08:49.792 เขาใช้เทคนิคคล้ายกันนี้ 00:08:49.792 --> 00:08:52.234 จำลำดับที่ถูกต้องทั้งหมด 00:08:52.234 --> 00:08:58.042 ของตัวเลขฐานสองที่สุ่มขึ้นมา 4,140 ตัว 00:08:58.042 --> 00:09:00.944 ภายในครึ่งชั่วโมง 00:09:00.944 --> 00:09:02.875 ใช่ครับ 00:09:02.875 --> 00:09:06.423 และแม้จะมีวิธีแตกต่างหลากหลาย 00:09:06.423 --> 00:09:10.000 ในการจำสิ่งต่างๆ ในการแข่งขันนี้ 00:09:10.000 --> 00:09:12.892 ทุกอย่าง ทุกเทคนิคที่ใช้กัน 00:09:12.892 --> 00:09:15.500 ที่สุดแล้วก็มาจากแนวคิด 00:09:15.500 --> 00:09:19.148 ที่นักจิตวิทยาเรียกว่า การเข้ารหัสอย่างละเอียดลึกซึ้ง 00:09:19.148 --> 00:09:21.829 ซึ่งอธิบายได้ด้วยตัวอย่างเก๋ๆ 00:09:21.829 --> 00:09:23.875 ที่เรียกว่า ปฏิทรรศน์ เรื่อง Baker กับ baker 00:09:23.875 --> 00:09:25.437 มันเป็นอย่างนี้ครับ 00:09:25.437 --> 00:09:28.333 ถ้าผมบอกให้คนสองคนจำคำคำเดียวกัน 00:09:28.333 --> 00:09:29.900 ผมบอกคุณว่า 00:09:29.900 --> 00:09:33.527 "ให้จำว่ามีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ เบเกอร์ (Baker)" 00:09:33.527 --> 00:09:35.033 นั่นคือชื่อเขา 00:09:35.033 --> 00:09:40.819 แล้วผมบอกคุณว่า "ให้จำว่ามีผู้ชายคนหนึ่ง มีอาชีพเป็น เบเกอร์ (baker) หรือ คนทำขนมปัง" 00:09:40.819 --> 00:09:44.061 เมื่อเวลาผ่านไป ผมกลับมาถามคุณใหม่ 00:09:44.061 --> 00:09:47.100 ผมถามว่า "คุณจำคำนั้นได้ไหม 00:09:47.100 --> 00:09:48.477 ที่ผมบอกคุณสักพักก่อนหน้านี้? 00:09:48.477 --> 00:09:50.275 คุณจำได้ไหมว่าคำนั้นคืออะไร?" 00:09:50.275 --> 00:09:53.542 คนที่ผมบอกว่า ผู้ชายคนนี้ชื่อเบเกอร์ (Baker) 00:09:53.542 --> 00:09:55.861 จำคำว่าเบเกอร์ (Baker) ไม่ค่อยได้ 00:09:55.861 --> 00:09:59.712 เมื่อเทียบกับคนที่ผมบอกว่า เขาทำงานเป็นเบเกอร์ (baker) หรือคนทำขนมปัง 00:09:59.712 --> 00:10:02.791 คำคำเดียวกัน แต่คนจำได้มากน้อยต่างกัน แปลกไหมครับ 00:10:02.791 --> 00:10:04.768 มันเกิดอะไรขึ้น? 00:10:04.768 --> 00:10:09.804 นั่นเพราะชื่อเบเกอร์ (Baker) ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ 00:10:09.804 --> 00:10:12.095 มันไม่ได้เชื่อมโยง 00:10:12.095 --> 00:10:15.333 กับความทรงจำอื่นใดในหัวคุณเลย 00:10:15.333 --> 00:10:17.223 แต่สามัญนาม คำว่าเบเกอร์ (baker) 00:10:17.223 --> 00:10:19.094 เรารู้ว่ามันหมายถึงคนทำขนมปัง 00:10:19.094 --> 00:10:21.123 ที่ใส่หมวกตลกๆ สีขาว 00:10:21.123 --> 00:10:22.750 มีแป้งเลอะมือ 00:10:22.750 --> 00:10:24.825 มีกลิ่นขนมอบหอมๆ ติดตัวมาเวลากลับบ้าน 00:10:24.825 --> 00:10:26.952 หรือเราอาจจะรู้จักคนทำขนมปังสักคน 00:10:26.952 --> 00:10:28.363 และเมื่อเราได้ยินคำนี้ครั้งแรก 00:10:28.363 --> 00:10:31.208 เราก็สร้างความเชื่อมโยงเหล่านี้ขึ้น 00:10:31.208 --> 00:10:35.279 ซึ่งทำให้ในวันหน้าเราดึงความจำเรื่องนี้ขึ้นมาได้ง่ายกว่า 00:10:35.279 --> 00:10:38.237 ศาสตร์และศิลป์ของสิ่งที่เกิดขึ้น 00:10:38.237 --> 00:10:40.352 ในการแข่งขันชิงแชมป์นักจำ 00:10:40.352 --> 00:10:43.579 และการจำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 00:10:43.579 --> 00:10:47.565 ก็คือการหาทางแปรรูปคำว่าเบเกอร์ (Baker) ที่เป็นชื่อคน 00:10:47.565 --> 00:10:49.561 ให้เป็นเบเกอร์ (baker) ที่แปลว่าคนทำขนมปัง 00:10:49.561 --> 00:10:52.948 เพื่อนำข้อมูลที่ขาดบริบท 00:10:52.948 --> 00:10:55.254 ความสำคัญ หรือความหมาย 00:10:55.254 --> 00:10:56.804 แล้วแปรรูปในทางใดทางหนึ่ง 00:10:56.804 --> 00:10:58.979 ให้มันมีความหมายขึ้นมา 00:10:58.979 --> 00:11:03.764 ในบริบทของสิ่งอื่นที่คุณมีอยู่ในหัว 00:11:03.764 --> 00:11:07.498 หนึ่งในเทคนิคอันปราณีตสำหรับช่วยจำนี้ 00:11:07.498 --> 00:11:11.417 มีอายุราว 2,500 ปี ย้อนไปในสมัยกรีกโบราณ 00:11:11.417 --> 00:11:13.395 โดยมีชื่อเรียกว่า วังแห่งความจำ 00:11:13.395 --> 00:11:16.820 มีเรื่องเล่าถึงที่มาของเทคนิคนี้ว่า 00:11:16.820 --> 00:11:19.792 กวีคนหนึ่ง ชื่อไซโมนิดิส 00:11:19.792 --> 00:11:21.698 ได้ไปงานเลี้ยงงานหนึ่ง 00:11:21.698 --> 00:11:23.946 เราถูกว่าจ้างให้ไปขับกล่อมแขกผู้มีเกียรติ 00:11:23.946 --> 00:11:26.958 เพราะสมัยก่อน ถ้าคุณอยากจัดปาร์ตี้มันส์สุดเหวี่ยง 00:11:26.958 --> 00:11:30.170 คุณไม่จ้างดีเจหรอก คุณต้องจ้างกวี 00:11:30.170 --> 00:11:35.040 ไซโมนิดิสยืนขึ้น ร่ายบทกวีปากเปล่าจากความจำ เสร็จแล้วก็เดินออกไปจากประตู 00:11:35.040 --> 00:11:40.152 ทันใดนั้น ห้องโถงที่จัดงานเลี้ยงก็ถล่มลงมา 00:11:40.152 --> 00:11:42.833 ทุกคนในงานเสียชีวิตหมด 00:11:42.833 --> 00:11:45.398 ซากปรักหักพังไม่เพียงคร่าชีวิตทุกคนเท่านั้น 00:11:45.398 --> 00:11:49.262 แต่ยังทำลายศพจนเละเกินกว่าจะจำได้ว่าใครเป็นใคร 00:11:49.262 --> 00:11:51.583 ไม่มีใครบอกได้ ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง 00:11:51.583 --> 00:11:54.754 ไม่มีใครบอกได้ว่าใครนั่งอยู่ตรงไหน 00:11:54.754 --> 00:11:56.993 ญาติก็ไม่สามารถนำศพไปฝังให้เรียบร้อยได้ 00:11:56.993 --> 00:12:00.836 เป็นโศกนาฏกรรมซ้ำซ้อนจริงๆ 00:12:00.836 --> 00:12:03.540 ไซโมนิดิสยืนอยู่ข้างนอก 00:12:03.540 --> 00:12:05.671 เป็นผู้รอดชีวิตคนเดียว ท่ามกลางซากปรักหักพัง 00:12:05.671 --> 00:12:09.307 เขาหลับตาลง แล้วก็ตระหนักว่า 00:12:09.307 --> 00:12:11.845 ภาพในความทรงจำของเขา 00:12:11.845 --> 00:12:16.990 มองเห็นว่าแขกแต่ละคนนั่งอยู่ตรงไหนในงานเลี้ยง 00:12:16.990 --> 00:12:19.333 แล้วเขาก็จูงมือญาติของผู้เสียชีวิต 00:12:19.333 --> 00:12:23.391 พาไปหาศพของคนที่เขารัก ท่ามกลางซากปรักหักพัง 00:12:23.391 --> 00:12:26.655 สิ่งที่ไซโมนิดิสค้นพบในขณะนั้น 00:12:26.655 --> 00:12:30.088 คือสิ่งที่ผมคิดว่าเราล้วนรู้อยู่ลึกๆ ในใจอยู่แล้ว 00:12:30.088 --> 00:12:32.500 นั่นคือ แม้ว่าเราจะความจำแย่ 00:12:32.500 --> 00:12:35.394 เมื่อให้จำชื่อคนและหมายเลขโทรศัพท์ 00:12:35.394 --> 00:12:38.052 และคำอธิบายวิธีการต่างๆ จากเพื่อนร่วมงานให้ครบถ้วน 00:12:38.052 --> 00:12:43.542 แต่เรามีความจำด้านภาพและสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมาก 00:12:43.542 --> 00:12:47.138 ถ้าผมให้คุณนึกถึงคำ 10 คำแรก 00:12:47.138 --> 00:12:49.602 ในเรื่องไซโมนิดิสที่ผมเพิ่งเล่าไป 00:12:49.602 --> 00:12:52.090 คุณคงนึกไม่ค่อยออกหรอก 00:12:52.090 --> 00:12:54.404 แต่ผมพนันได้เลยว่า 00:12:54.404 --> 00:12:57.087 ถ้าผมให้คุณนึก 00:12:57.087 --> 00:13:01.643 ว่าใครกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีแทน 00:13:01.643 --> 00:13:03.641 ในห้องโถงที่บ้านคุณ 00:13:03.641 --> 00:13:05.966 คุณจะมองเห็นภาพทันที 00:13:05.966 --> 00:13:08.496 หลักการเบื้องหลังเทคนิควังแห่งความจำ 00:13:08.496 --> 00:13:13.129 ก็คือการจินตนาการภาพอาคารแห่งหนึ่งไว้ในใจ 00:13:13.129 --> 00:13:14.875 แล้วเอาภาพต่างๆ 00:13:14.875 --> 00:13:17.083 ของสิ่งที่คุณต้องการจำใส่เข้าไป 00:13:17.083 --> 00:13:20.412 ยิ่งเป็นภาพที่บ้าบอ แปลก ประหลาด 00:13:20.412 --> 00:13:24.012 ตลก เซ็กซี่ มีกลิ่นฉุนเฉียวมากเท่าไหร่ 00:13:24.012 --> 00:13:26.887 มันก็ยิ่งลืมไม่ลงมากเท่านั้น 00:13:26.887 --> 00:13:29.721 คำแนะนำนี้มีมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว 00:13:29.721 --> 00:13:32.506 ย้อนไปถึงหนังสือโบราณภาษาละตินที่ว่าด้วยความจำ 00:13:32.506 --> 00:13:34.335 เอาล่ะ แล้วเทคนิคนี้มันทำงานอย่างไร? 00:13:34.335 --> 00:13:36.875 สมมติว่าคุณได้รับเชิญ 00:13:36.875 --> 00:13:40.681 ให้มายืนบนเวที TED แห่งนี้เพื่อกล่าวปาฐกถา 00:13:40.681 --> 00:13:43.215 คุณอยากพูดจากความจำของคุณ ไม่ใช่โพย 00:13:43.215 --> 00:13:48.260 และจะพูดอย่างที่ซิเซโรน่าจะทำ 00:13:48.260 --> 00:13:52.919 ถ้าเขาได้รับเชิญไปพูดที่ TEDx Rome เมื่อ 2,000 ปีก่อน 00:13:52.919 --> 00:13:55.177 สิ่งที่คุณอาจจะทำ 00:13:55.177 --> 00:14:00.396 คือจินตนาการตัวคุณเองอยู่ที่ประตูหน้าบ้านของคุณ 00:14:00.396 --> 00:14:02.438 แล้วนึกถึงภาพอะไรที่ 00:14:02.438 --> 00:14:05.946 บ้าสุดๆ ตลกสุดๆ หรือจำได้ติดตาไม่ลืม 00:14:05.946 --> 00:14:08.929 เพื่อใช้เตือนให้คุณจำได้ว่า สิ่งแรกที่คุณอยากพูดถึง 00:14:08.929 --> 00:14:11.721 คือการแข่งขันที่แปลกประหลาดสุดๆ 00:14:11.721 --> 00:14:14.554 แล้วคุณก็เดินเข้าไปในบ้าน 00:14:14.554 --> 00:14:17.406 เห็นเจ้าปีศาจคุกกี้ มอนสเตอร์ 00:14:17.406 --> 00:14:19.293 อยู่บนหลังม้าชื่อมิสเตอร์ เอ็ด 00:14:19.293 --> 00:14:20.562 เพื่อเตือนให้คุณจำได้ 00:14:20.562 --> 00:14:23.736 ว่าคุณอยากพูดถึงเพื่อนของคุณชื่อเอ็ด คุก 00:14:23.736 --> 00:14:26.400 แล้วคุณก็เห็นภาพบริทนีย์ สเปียร์ส 00:14:26.400 --> 00:14:29.212 ที่ทำให้คุณจำตัวอย่างขำๆ ที่คุณอยากเล่าได้ 00:14:29.212 --> 00:14:30.884 คุณเดินเข้าไปในครัว 00:14:30.884 --> 00:14:32.729 และหัวข้อที่สี่ที่คุณจะพูดคือ 00:14:32.729 --> 00:14:35.667 การเดินทางที่แปลกประหลาดที่คุณผ่านมาเป็นเวลาหนึ่งปี 00:14:35.667 --> 00:14:40.631 โดยมีเพื่อนๆ ของคุณคอยช่วยให้คุณจำสิ่งเหล่านี้ได้ 00:14:40.631 --> 00:14:44.850 นี่คือวิธีที่นักพูดชาวโรมันจดจำปาฐกถาของเขา 00:14:44.850 --> 00:14:48.244 ไม่ใช่จำคำต่อคำ ซึ่งจะทำให้คุณสับสน 00:14:48.244 --> 00:14:50.656 แต่จำใจความสำคัญเป็นรายหัวข้อ (topic) 00:14:50.656 --> 00:14:53.563 ที่จริง คำว่า ประโยคใจความสำคัญ (Topic sentence) 00:14:53.563 --> 00:14:56.863 นั้นมาจากรากศัพท์ภาษากรีกว่า "topos" 00:14:56.863 --> 00:14:58.583 ซึ่งแปลว่า สถานที่ 00:14:58.583 --> 00:15:00.150 นั่นเป็นเบาะแสที่ชี้ว่า 00:15:00.150 --> 00:15:02.470 เมื่อก่อนคนเราคิดถึงสุนทรพจน์และวาทศิลป์ 00:15:02.470 --> 00:15:04.708 โดยใช้ถ้อยคำที่เกี่ยวกับสถานที่ 00:15:04.708 --> 00:15:06.645 วลีที่ว่า "in the first place" ที่แปลว่า ตั้งแต่แรก 00:15:06.645 --> 00:15:10.068 ก็หมายถึงจุดแรกในวังแห่งความจำของเรา 00:15:10.068 --> 00:15:12.048 ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก 00:15:12.048 --> 00:15:13.948 และผมก็หลงใหลเรื่องนี้มาก 00:15:13.948 --> 00:15:16.696 ผมไปงานแข่งขันความจำแบบนี้อีกสองสามที่ 00:15:16.696 --> 00:15:19.257 แล้วก็เกิดความคิดว่าผมน่าจะเขียนบทความ ที่ยาวกว่าเดิม 00:15:19.257 --> 00:15:22.550 เกี่ยวกับวัฒนธรรมกลุ่มย่อย ของนักแข่งขันชิงแชมป์ความจำ 00:15:22.550 --> 00:15:24.577 แต่มันมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง 00:15:24.577 --> 00:15:27.325 นั่นคือ การแข่งขันความจำ 00:15:27.325 --> 00:15:31.054 เป็นการแข่งขันที่น่าเบื่ออย่างแสนสาหัส 00:15:31.054 --> 00:15:33.660 (เสียงหัวเราะ) 00:15:33.660 --> 00:15:38.210 จริงๆ นะครับ มันเหมือนกับเอาคนจำนวนมาก มานั่งทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย 00:15:38.210 --> 00:15:39.904 คือ เหตุการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ แล้ว ก็คือ 00:15:39.904 --> 00:15:41.283 ตอนที่ใครสักคนเริ่มนวดขมับของเขา แค่นั้นแหละ 00:15:41.283 --> 00:15:44.321 แล้วผมเป็นนักข่าวนะ ผมต้องการเรื่องไปเขียนข่าว 00:15:44.321 --> 00:15:48.098 ผมรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะเหลือเชื่อ ในหัวของคนเหล่านี้ 00:15:48.098 --> 00:15:50.198 แต่ผมไม่สามารถเข้าถึงมันได้ 00:15:50.198 --> 00:15:52.917 ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าผมจะเล่าเรื่องนี้ 00:15:52.917 --> 00:15:55.667 ผมต้องลองสวมบทบาทเป็นคนเหล่านี้สักหน่อย 00:15:55.667 --> 00:15:59.248 ผมก็เลยเริ่มใช้เวลา 15 ถึง 20 นาที ทุกๆ เช้า 00:15:59.248 --> 00:16:02.083 ก่อนจะนั่งลงทำงานที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ 00:16:02.083 --> 00:16:04.604 พยายามจำอะไรสักอย่าง 00:16:04.604 --> 00:16:06.273 อาจจะเป็นบทกวี 00:16:06.273 --> 00:16:08.312 ชื่อคนจากหนังสือรุ่นเก่าๆ 00:16:08.312 --> 00:16:10.571 ที่ผมซื้อมาจากตลาดขายของมือสอง 00:16:10.571 --> 00:16:16.067 แล้วผมก็พบว่ามันสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ 00:16:16.067 --> 00:16:18.145 ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย 00:16:18.145 --> 00:16:21.508 มันสนุกเพราะจริงๆ มันไม่ใช่การฝึกความจำหรอก 00:16:21.508 --> 00:16:24.546 แต่เป็นการพยายามพัฒนาความสามารถ 00:16:24.546 --> 00:16:26.975 ในการสร้างสรรค์ จินตนาการ 00:16:26.975 --> 00:16:29.869 ภาพที่น่าขำ เซ็กซี่ ตลก 00:16:29.869 --> 00:16:33.994 และจำได้ไม่ลืมในใจของคุณ 00:16:33.994 --> 00:16:35.577 และผมก็สนุกไปกับมันมาก 00:16:35.577 --> 00:16:42.234 นี่คือภาพผมในชุดมาตรฐาน สำหรับฝึกความจำสำหรับแข่งขัน 00:16:42.234 --> 00:16:44.200 นั่นคือที่อุดหูคู่หนึ่ง 00:16:44.200 --> 00:16:47.609 และแว่นตานิรภัยที่พ่นสีดำทั้งหมด 00:16:47.609 --> 00:16:50.282 เหลือแค่รูเล็กๆ สองรู 00:16:50.282 --> 00:16:55.608 เพราะสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจเป็นศัตรูสำคัญ ของนักแข่งขันชิงแชมป์ความจำ 00:16:55.608 --> 00:17:01.375 ในที่สุด ผมก็กลับไปที่การแข่งขันที่ผมเขียนถึงเมื่อปีก่อน 00:17:01.375 --> 00:17:03.481 และคิดว่าจะลงแข่งดู 00:17:03.481 --> 00:17:06.783 เพื่อทดลองทำข่าวแบบมีส่วนร่วม 00:17:06.783 --> 00:17:11.304 ผมหวังว่า มันน่าจะเป็นบทส่งท้ายเจ๋งๆ ให้งานวิจัยของผมครั้งนี้ 00:17:11.304 --> 00:17:15.042 ปัญหาคือ การทดลองมันเลยเถิดไปไกล 00:17:15.042 --> 00:17:17.779 คือ ผมชนะการแข่งขัน 00:17:17.779 --> 00:17:20.882 ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น 00:17:20.882 --> 00:17:26.731 (เสียงปรบมือ) 00:17:26.731 --> 00:17:28.436 เอาล่ะ มันก็ดีนะครับ 00:17:28.436 --> 00:17:31.263 การที่เราสามารถจดจำปาฐกถา 00:17:31.263 --> 00:17:34.357 เบอร์โทรศัพท์ และรายการจ่ายตลาด 00:17:34.357 --> 00:17:37.133 แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่สาระสำคัญ 00:17:37.133 --> 00:17:39.331 มันเป็นแค่เทคนิค 00:17:39.331 --> 00:17:41.333 หรือลูกเล่นพิเศษที่ได้ผล 00:17:41.333 --> 00:17:44.516 เพราะมันตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 00:17:44.516 --> 00:17:46.292 ของการทำงานของสมอง 00:17:46.292 --> 00:17:50.244 คุณไม่ต้องสร้างวังแห่งความจำ 00:17:50.244 --> 00:17:52.250 หรือจำไพ่ทั้งสำรับ 00:17:52.250 --> 00:17:54.263 เพื่อใช้ประโยชน์จากความเข้าใจ 00:17:54.263 --> 00:17:56.907 ว่าจิตใจของคุณทำงานอย่างไร 00:17:56.907 --> 00:17:58.700 เรามักพูดถึงคนที่ความจำเป็นเลิศ 00:17:58.700 --> 00:18:01.000 ราวกับว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด 00:18:01.000 --> 00:18:02.890 แต่มันไม่ใช่เลย 00:18:02.890 --> 00:18:06.658 ความจำที่เป็นเลิศนั้นมาจากการเรียนรู้ 00:18:06.658 --> 00:18:10.127 ในระดับพื้นฐานที่สุด เราจะจำอะไรได้เมื่อเราใส่ใจ 00:18:10.127 --> 00:18:13.333 เราจำได้เมื่อเราเอาใจใส่อย่างลึกซึ้ง 00:18:13.333 --> 00:18:14.854 เราจำได้เมื่อเราสามารถ 00:18:14.854 --> 00:18:17.625 นำข้อมูลและประสบการณ์ที่มี 00:18:17.625 --> 00:18:19.731 มาพิจารณาว่ามันมีความหมายกับเราอย่างไร 00:18:19.731 --> 00:18:22.154 ทำไมมันจึงสำคัญ ทำไมมันจึงมีสีสันน่าสนใจ 00:18:22.169 --> 00:18:25.098 เมื่อเราสามารถแปรรูปมัน 00:18:25.098 --> 00:18:26.592 ให้มีความหมายขึ้นมา 00:18:26.592 --> 00:18:28.819 ในบริบทของสิ่งอื่นๆ ที่ล่องลอยอยู่ในหัวของเรา 00:18:28.819 --> 00:18:34.079 เมื่อเราสามารถเปลี่ยนคนชื่อ Bakers ให้เป็น bakers ที่แปลว่าคนทำขนมปัง 00:18:34.079 --> 00:18:36.505 วังแห่งความจำ เทคนิคช่วยจำพวกนี้ 00:18:36.505 --> 00:18:38.375 มันเป็นแค่ทางลัด 00:18:38.375 --> 00:18:40.940 ที่จริง มันไม่ใช่ทางลัดด้วยซ้ำ 00:18:40.940 --> 00:18:44.343 มันได้ผล เพราะมันบังคับให้คุณใช้ความคิดมากขึ้น 00:18:44.343 --> 00:18:48.283 มันบังคับให้คุณคิด ประมวลผลข้อมูลอย่างลึกซึ้ง 00:18:48.283 --> 00:18:49.804 ให้คุณมีสติ สมาธิ 00:18:49.804 --> 00:18:54.032 ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนกันอยู่เป็นประจำ 00:18:54.032 --> 00:18:56.594 แต่ที่จริง มันไม่มีทางลัด 00:18:56.594 --> 00:18:59.450 นี่เป็นเทคนิคที่ทำให้สิ่งต่างๆ มันจำง่าย 00:18:59.450 --> 00:19:03.593 และผมคิดว่า ถ้าจะมีอะไรสักอย่าง ที่ผมอยากทิ้งท้ายไว้ให้คุณคิด 00:19:03.593 --> 00:19:06.327 ก็คงเป็นสิ่งที่เรื่องราวของชายขื่อ อี พี 00:19:06.327 --> 00:19:10.125 ชายความจำเสื่อมที่จำไม่ได้ว่าตัวเองความจำเสื่อม 00:19:10.125 --> 00:19:11.615 ทิ้งท้ายไว้ให้ผมคิด 00:19:11.615 --> 00:19:13.713 นั่นคือความคิดที่ว่า 00:19:13.713 --> 00:19:18.750 ชีวิตของเราเป็นผลรวมของความทรงจำของเรา 00:19:18.750 --> 00:19:24.583 เราจะยอมสูญเสียความทรงจำไปมากแค่ไหน 00:19:24.583 --> 00:19:28.250 จากชีวิตของเราที่แสนสั้นอยู่แล้ว 00:19:28.250 --> 00:19:35.210 ด้วยการหมกมุ่นอยู่กับแบล็คเบอรี่หรือไอโฟน 00:19:35.210 --> 00:19:39.008 ด้วยการไม่เอาใจใส่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเรา 00:19:39.008 --> 00:19:40.583 คนที่กำลังคุยกับเรา 00:19:40.583 --> 00:19:42.654 ด้วยความขี้เกียจจนไม่ยอมคิด 00:19:42.654 --> 00:19:46.344 พิจารณาอะไรให้ลึกซึ้ง 00:19:46.344 --> 00:19:48.788 ผมเรียนรู้มากับตัวเอง 00:19:48.788 --> 00:19:52.185 ว่ามีความสามารถในการจำอันเหลือเชื่อ 00:19:52.185 --> 00:19:54.188 ซ่อนอยู่ในตัวเราทุกคน 00:19:54.188 --> 00:19:57.585 ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตที่น่าจดจำ 00:19:57.585 --> 00:19:59.971 คุณต้องเป็นคนที่ 00:19:59.971 --> 00:20:02.937 ใส่ใจเสมอที่จะจดจำ 00:20:02.937 --> 00:20:04.706 ขอบคุณครับ 00:20:04.706 --> 00:20:07.796 (เสียงปรบมือ)